วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โบฮีเมียน(Bohemian)


ที่มาของแฟชั่นโบฮีเมียน(Bohemian) ผู้ที่แต่งตัว Bohemian มักใช้สร้อยคอที่ มีสีสรรค์มากมาย ต่างไปจากคนอื่นๆ การใช้กระโปรงลายดอกๆ มี layer เยอะ กับลากรองเท้าแตะ วัยรุ่นหลายๆคน นิยมเรียก ชื่อเล่นของ Bohemian เป็น แฟชั่นโบโฮ ( Boho ) เห็นบางแห่ง จำกัดความ สุดสวย Boho ของ babyBride เป็น พวกนอกรีด แบบเลยเถิดไปว่า ” ผู้ดำรงชีวิตแตกต่างจากคนอื่น เป็นแบบไม่ทำตามกฎทางสังคม ”


Bohemia นั้นเป็นดินแดน ที่กั้นระหว่าง เยอรมันกับโปแลน หรือ คือ สาธารณรัฐเช็ก ในปัจจุบัน มีเมืองหลวงคือ ปราก หรือ ปราฮา เขตที่มักมี ข่าวตอนสองทุ่มอยู่บ่อยๆ ช่วงหนึ่ง มีสถานที่ท่องเที่ยว และ คริสตอลสวยมากๆ การแต่งกายของคนที่นี่ ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวเลย แต่น่าจะไปเกี่ยวกับ การเกิดขึ้นของดินแดนแห่งนี้ มากกว่า

เพราะการใช้ชีวิตในแบบ ไม่แคร์สังคมภายนอก การที่รู้สึกตนเองว่า เงินไม่ใช่พระเจ้า ไม่ได้ประดิษฐ์หรือ สร้างสิ่งของ เพื่อจะแลกกับเงิน จากดินแดนอื่นทำกำไร แต่ทำขึ้มมาจาก รากแท้ของความรู้สึก ที่อยากจะแสดงออก ทางจิตใจ และความคิดสร้างสรรค์ งานของตนเอง ซึ่งมันเป็น เอกลักษณ์แท้ๆ ของ การแต่งกายแบบแบบ Bohemia นี้ แหละ คือ มักเป็น คล้ายๆ DIY แฟชั่น แฟชั่นฮิปปี้ หรือ โฟโฮ แบบยุคก่อนๆ

หากกล่าวถึง คำว่า แฟชั่น โบฮีเมี่ยน คนที่ ผู้บุกเบิก ค่านิยมการแต่งกายแนวนี้ และมีบทบาท มากๆคงต้องเป็น Kate Moss Kate Moss ได้นำเข้า แฟชั่นโบฮีเมี่ยน ชนิดที่มีความเป็นตัว ของตัวเองสูงมาก ประมาณว่า เป็นแนวไม่แค่สังคม แล้ว Sienna Miller ก็ทำให้มัน เป็นที่นิยม อย่างรวดเร็ว

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แรกมี'น้ำประปา'ใช้ในสยาม

ภาพประกอบ

วันที่ 23 ตุลาคม 2553 ถือเป็นวันสำคัญและเป็นปีที่พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศพร้อมใจกันรำลึก 100 ปี แห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ปวงชนชาวไทยต่างถวายพระนามพระ องค์ว่า “พระปิยมหาราช” อันหมายถึงพระราชาผู้เป็น ที่รักของประชาชน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง ใหญ่ต่อปวงชนชาวไทย ทรงให้อิสรภาพแก่ประชาชนผู้ทนทุกข์ ยากแค้นลำเค็ญ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลิกทาส และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์ทรงนำเทคโนโลยีสมัยใหม่พร้อมสาธารณูปโภคนานัปการ อาทิ รถไฟ ไฟฟ้า และกิจการประปา ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิตให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศมาใช้ ทำให้ชาวต่างชาติ ซึ่งแต่เดิมจะไม่พำนักอยู่ในประเทศไทยนานนัก เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็จะเดินทางกลับทันที เนื่องจากความเป็นอยู่ไม่สะดวกสบายเหมือนในบ้านเมืองเขา โดยเฉพาะน้ำดื่ม น้ำใช้ไม่สะอาดพอ เพราะใช้น้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เมื่อมีไฟฟ้า น้ำประปาแล้ว ชาวต่างประเทศก็เดินทางเข้ามาติดต่อทำการค้ากันมากขึ้น ประเทศไทยหรือประเทศสยามในเวลานั้น จึงเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว


กิจการประปาเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์เสด็จประพาส ต่างประเทศทั้งยุโรป รัสเซีย สเปน อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีน้ำประปาใช้แล้ว ส่วนใหญ่กิจการประปาจะเป็นของเอกชน เมื่อพระองค์สนพระราชหฤทัย และมีพระราชดำริ ที่จะจัดสร้างระบบประปา ในกรุงเทพฯ ได้มีฝรั่งชาว ต่างชาติหลายรายเสนอตัวที่จะเป็นผู้ลงทุนผลิตน้ำประปาเพื่อจำหน่ายในเขตพระ นคร โดยอ้างว่าจะได้ไม่เปลืองงบประมาณแผ่นดิน และค่าน้ำก็จะคิดในอัตราหนึ่ง และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไม่เกินลูกบาศก์เมตรละหกสลึง (1.50 บาท) แต่เมื่อพระองค์ ทรงไตร่ตรอง และหารือกับ บรรดาเหล่าเสนาบดีแล้ว พระองค์ทรงเกรงว่าหากให้เอกชนต่างชาติรับไปดำเนินการเสียแล้ว ประชาชนคนไทยผู้ใช้บริการอาจได้รับความ เดือดร้อนจากการขึ้นค่าน้ำ ของฝรั่งก็เป็นได้ จึงได้ตัดสิน พระทัยให้กรมสุขาภิบาลเป็น ผู้ดำเนินการจัดหาน้ำสะอาดมาใช้ในพระนคร โดย พระองค์ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเป็นทุนประเดิม และเอกชนได้ร่วมสมทบ เป็นเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านบาทเศษในสมัยนั้น

กิจการประปาเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างในปี 2452 ตั้งแต่มีการจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างโรงกรองสามเสน (ปัจจุบันคือโรงงานผลิตน้ำสามเสน) ขุดคลองส่งน้ำจากบริเวณคลองเชียงรากมาถึงโรงกรองสามเสน การขุดฝังวางท่อจ่ายน้ำทั่วพระนคร สร้างถังสูงสำหรับช่วยเพิ่มแรงดันในการส่งน้ำไปบริการ ประชาชน (ถังสูง 2 ใบนี้ ยังคงอยู่ที่สี่แยกแม้นศรี ถนน บำรุงเมือง กทม.)

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2457 พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯทรงเป็นประธานเปิดกิจการ “การประปากรุงเทพฯ” ด้วยพระองค์เอง อันมีเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงนครบาล เป็นผู้กล่าวรายงาน และพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบ ตอนหนึ่งว่า “การใหญ่ของการประปาอันเป็นของค้างมาครั้งรัชกาลแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้มาทำสำเร็จไปโดยเร็วใน รัชสมัยของเราเช่นนี้ เป็นเครื่องเชิดชูเกียรติเรา ใน การที่มีของสำคัญขึ้นสำหรับพระนครและเป็นการสมควรอยู่แล้วที่จะต้องแสดงให้ ปรากฏว่าการนี้ สมเด็จพระบรมชนกนารถของเราเป็นผู้ ริเริ่มดำริ กับสมควรนับเป็นอนุสาวรีย์ของพระองค์ส่วนหนึ่งได้เหมือนกัน” และอีกตอนหนึ่งว่า “ขอน้ำใสอันจะหลั่งไหลจากประปานี้ จงเป็นเครื่องประหารสรรพโรคร้าย ที่จะเบียดเบียนให้ร้ายแก่ประชาชนผู้เป็นพสกนิกร ของเรา” นี่คือที่มาของ “น้ำประปาดื่มได้” ดื่มแล้ว ปลอดภัยไร้โรคา พยาธิ นับ ตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการมาจนถึง ทุกวันนี้

ในสมัยนั้น กรุงเทพฯ มีประชากรเพียง 330,000 คน อาศัยอยู่ฝั่งกรุงเทพฯ 280,000 คน อยู่ฝั่งธนบุรี 50,000 คน เมื่อเปิดกิจการระยะแรกมีผู้ใช้น้ำเพียง 400 คน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 คน ในปี 2465 อัตราค่าน้ำ 25 สตางค์ต่อลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ผลิตน้ำวันละ 10,000 ลบ.ม. และสูงสุด 13,000 ลบ.ม. ในช่วงฤดูแล้ง ในด้านคุณภาพน้ำ จะมีเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลมาตรวจคุณภาพน้ำประปา โดยตรวจแบคทีเรียทุกวัน ตรวจด้านเคมีทุกเดือน (ตั้งแต่ปี 2464) ปรากฏว่าไม่พบแบคทีเรีย และปลอดภัยจากสารพิษ จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยเรามีน้ำประปาที่สะอาดได้มาตรฐานเช่นเดียวกับนานา อารยประเทศ ยืนยันได้จากข้อเขียนของ Mr.Fernand Didier วิศวกรชาวฝรั่งเศส ที่ได้เข้ามาทำงานในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นผู้บริหารกิจการประปากรุงเทพฯ ในยุคแรก เขาเขียนระบุในหนังสือ The Bangkok Water Supply Descrip- tion Of The Works For Supplying The Siamese Capital With Portable Water ว่า “น้ำประปา กรุงเทพฯ เป็นน้ำสะอาด ไม่แพ้เมืองใด ๆ ในโลก”

หลังจากปี 2529 เป็นต้นมา กิจการประปาสามารถพัฒนาและดำเนินงานก้าวหน้าไปตามโครงการแผนหลักอย่างต่อ เนื่อง มีการขยายกำลังการผลิตและจ่ายน้ำที่เป็นไปตามแผน สามารถเพิ่มผู้ใช้น้ำได้ถึงปีละ 8-9% ทุกปี ในขณะเดียวกัน การประปานครหลวงได้เริ่มจัดทำโครงการประปา ฝั่งตะวันตกเมื่อปี 2530 เพื่อ รองรับการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ของชุมชนทางด้านฝั่งธนบุรีและนนทบุรี และประการสำคัญเพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบแห่งใหม่สำรองจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่มี อยู่เพียงแห่งเดียวและปริมาณน้ำเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงได้ก่อสร้างโรงกรองน้ำมหาสวัสดิ์ และขุดคลองประปาสายใหม่ ขึ้นเพื่อรับน้ำจากแม่น้ำแม่กลองในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีปริมาณน้ำมากและมีคุณภาพดีในระยะแรกได้ขุดคลองประปาสายใหม่ไปถึงแม่ น้ำท่าจีนและขุดต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรีรวมความยาว 106 กม. แล้วเสร็จเมื่อปี 2545

วันเวลาล่วงเลยมา 96 ปี วันนี้การประปากรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อใหม่ว่า การประปานครหลวง ยังคงปฏิบัติภารกิจที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ ผลิต น้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคและบริโภค สำหรับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล ในปริมาณที่เพียง พอและทั่วถึง ปัจจุบันการ ประปานครหลวงมีลูกค้าเกือบ 2,000,000 ราย (คิดเป็นผู้ ใช้น้ำประมาณ 10,000,000 คน) ผลิตน้ำจ่ายวันละกว่า 5,000,000 ลบ.ม.


ในโอกาสครบรอบ 96 ปี กิจการประปากรุงเทพฯ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 นี้ การประปานครหลวงได้จัดกิจกรรม “วันประปาเพื่อประชาชน” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ โดยพนักงานและลูกจ้างกว่า 3,000 คน ร่วมใจกันออกให้บริการประชาชน อาทิ รับคำร้อง ยกย้ายมิเตอร์ บริการตรวจ ซ่อมท่อแตกรั่วภาย ในบ้าน ทุกกิจกรรมที่บริการประชาชน ในวันนั้น ฟรี! เพราะเป็น “วันประปาเพื่อประชาชน” ดั่งพระราชประสงค์ข ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ผู้ พระราชทานความสุขให้กับ ปวงชนชาวไทยมาจวบจนทุกวันนี้.

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

มารยาทการรับประทานอาหารแบบตะวันตก

มารยาทการรับประทานอาหารแบบตะวันตก

1. เมื่อเข้าไปที่โต๊ะอาหาร สุภาพบุรุษควรดึงเก้าอี้ให้สุภาพสตรี แล้วคลี่ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะให้สุภาพสตรีด้วย การคลี่ผ้าเช็ดปากให้วางบนตัก โดยพับเป็นสองท่อน เอาชายผ้าเข้าหาตัว และเมื่อต้องลุกจากโต๊ะระหว่างรับประทานอาหาร ผ้าเช็ดปากนั้นให้วางลงบนเก้าอี้หรือพนักวางแขน เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว ให้เอาผ้าวางบนโต๊ะด้านขวา

2. ควรนั่งอย่างสบาย ตัวตรง ไม่ก้มหน้า ให้ดึงเก้าอี้เข้าหาโต๊ะ และไม่นั่งไขว่ห้าง ไม่นั่งเท้าแขน เอามือวางบนตัก และไม่ควรประแป้งหรือทาลิปสติกบนโต๊ะอาหาร

3. โทรศัพท์มือถือไม่ควรเปิดเสียง และห้ามวางไว้บนโต๊ะอาหาร ผิดมารยาทเพราะถือว่าไม่ให้ความสำคัญกับคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย

4. ไม่ควรถอดรองเท้าใต้โต๊ะ (อย่าทำเด็ดขาด) และไม่ควรใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าส้นเปิด (เหมาะกับค็อกเทลมากกว่า และถ้าสวมรองเท้าส้นเปิด ก็ไม่ควรใส่ถุงน่อง)

5. เอาใจใส่ดูแลทรงผม ต้องทำ ต้องเก็บให้เรียบร้อย

6. เสื้อผ้าผู้หญิงให้ระวัง อย่าใส่คอลึก เวลาก้มจะไม่งาม ถ้าสวมกระโปรง ไม่นิยมนุ่งกระโปรงสั้น

7. จำไว้ว่า จานขนมปังอยู่ทางซ้ายมือเสมอ (หากหยิบผิด ให้กล่าวคำขอโทษ แล้วเปลี่ยนจานขนมปังได้)

8. ขนมปังหยิบรับประทานได้เลย ไม่ต้องรอให้เจ้าภาพบอก หากหมดแล้วขอใหม่ได้ วิธีรับประทานที่ถูกต้องคือ บิขนมปังด้วยมือ แล้วทาเนยตรงชิ้นที่เข้าปาก และเมื่อใช้มีดป้ายขนมปังเสร็จแล้ว ต้องวางคืนไว้ที่จานขนมปัง (ขนมปังรับประทานได้เรื่อยๆ จนกระทั่งจบเมนคอร์ส ถือเป็นอันสิ้นสุด)

9. แก้วน้ำอยู่ทางขวามือ อย่าใช้ผิด จะผิดทั้งโต๊ะ

10. ท่องเอาไว้ว่า ใช้ช้อน ส้อม มีด จากด้านนอกสุดเข้าหาด้านในสุด

11. การรับประทานซุปด้วยช้อนซุป ควรตักซุปออกจากตัว และรับประทานซุปทางด้านข้างของช้อน ถ้าเป็นซุปใสใส่ถ้วยที่มีหู สามารถยกถ้วยดื่มได้เลย (ซุปข้นไม่ได้) และไม่ควรมีเสียงดังขณะดื่ม และไม่ควรเอาขนมปังจิ้มซุป อย่าทำเด็ดขาด

12. ควรสนทนากับผู้นั่งข้างเคียงบ้าง แต่อย่าให้เสียงดัง เวลาสนทนาควรวางมีดกับส้อมบนจานเสียก่อน อย่าถือมีดหรือส้อมชี้ประกอบท่าทาง ควรหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนาเรื่องการเมืองและศาสนา ส่วนหัวข้ออื่นๆ พูดได้ เช่น เรื่องดินฟ้าอากาศ รถติด เป็นต้น

13. เวลารับประทานเนื้อ นิยมตัดรับประทานทีละชิ้นแบบอังกฤษ แต่แบบอเมริกันจะหั่นเนื้อจนหมด แล้ววางมีดไว้ด้านบนของจาน แล้วเปลี่ยนถือส้อมด้วยมือขวาส่งอาหารเข้าปาก สำหรับในประเทศไทยนิยมแบบอังกฤษ

14. เวลาหั่นอาหาร เมื่อหยิบส้อมขึ้นมา ให้คว่ำส้อม แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้งโป้งจับไว้ที่คอมีด เพื่อจะได้ออกแรงหั่นได้ดี

15. ถ้าอาหารมีลักษณะเป็นเส้น เช่น เส้นสปาเกตตี ให้ใช้ส้อมม้วนเส้น แล้วค่อยนำใส่ปากรับประทาน

16. อาหารจะเซตเมนูมาให้อยู่แล้ว ขอเพิ่มไม่ได้ จบแล้วจบเลย งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการจะไม่มีการเสิร์ฟอาหารเพิ่มเติม

17. เสิร์ฟอาหารอะไรมาก็ต้องรับประทานแบบนั้น (เพราะเจ้าภาพงานจะทราบอยู่แล้วว่าแขกที่เชิญจะรับประทานอะไรได้หรือไม่ได้ ซึ่งจะหลีกเลี่ยงเมนูนั้นอยู่แล้ว)

18. ไม่ควรแชร์อาหารกับคนข้างๆ ห้ามทำเด็ดขาด

19. การเสิร์ฟ ซอร์เบท (Sorbet) หรือไอศกรีมที่ไม่ใส่นม ไม่ใส่ครีม มีรสเปรี้ยวนำ ก็เพื่อล้างปากก่อนเสิร์ฟอาหารจานต่อไป นิยมเสิร์ฟในงานพิธีการใหญ่ๆ ถ้าเป็นงานปกติจะไม่เสิร์ฟ

20. การใช้เครื่องมือรับประทานอาหารแบบพิเศษ ถ้าไม่ทราบวิธีการใช้ ให้สังเกตคนรอบข้าง

21. การรับประทานผลไม้ ใช้ส้อมหยิบผลไม้แล้วปอกด้วยมีด ซึ่งแล้วแต่ชนิดของผลไม้มีวิธีต่างๆ กัน

22. ไม่ควรเอื้อมหยิบของข้ามหน้าแขกท่านอื่นๆ ควรเรียกพนักงานบริการหยิบให้ ถ้าจำเป็นให้ขอร้องผู้นั่งร่วมโต๊ะที่นั่งอยู่ถัดไปด้วยความสุภาพ พร้อมกล่าวคำขอบคุณ

23. ในกรณีที่ทำของหรืออุปกรณ์รับประทานอาหารตกจากโต๊ะ อย่าตกใจ ควรขอโทษคนข้างเคียงเบาๆ และไม่ควรหยิบขึ้นมาจากพื้นเอง ขอใหม่ได้จากบริกร

24. การรวบมีดกับส้อม หรือช้อนส้อม อังกฤษนิยมรวบไว้ตรงกลาง ตรงหน้า และหงายส้อม แต่อเมริกันนิยมรวบไว้หัวจานเฉียงๆ

25. ควรซับริมฝีปากด้วยผ้าเช็ดปากเสียก่อนการดื่มเครื่องดื่มต่างๆ

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

"ข้าวกล้อง" รูปไม่สวยแต่คุณค่ามหาศาล


"ข้าว" ไม่ว่าจะข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้า ก็ถือเป็นอาหารหลักของคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่สำหรับคนไทยที่กินข้าวเจ้าแล้ว ส่วนใหญ่มักจะคุ้นชินกับการกินข้าวที่ขัดสีจนขาว ไม่นิยมกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือกันเท่าไรนัก แถมยังดูถูกว่าเป็นข้าวแดงที่กินกันในคุกไปเสีย แต่ใน "ข้าวกล้อง" เมล็ดสีน้ำตาลๆ นี้เองที่เป็นแหล่งรวมวิตามินที่เป็นประโยชน์ทั้งหลายเอาไว้มากกว่าข้าวขาวเสียอีก

สีน้ำตาลที่เห็นในข้าวกล้องนั้นก็เป็นเพราะในขั้นตอนการขัดสีข้าว ข้าวกล้องนั้นโดนกะเทาะเพียงส่วนเปลือกซึ่งเรียกว่าแกลบออกไปเท่านั้น แต่จมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวซึ่งเป็นศูนย์รวมวิตามินหลากหลายชนิดนั้นยังคงอยู่ วิตามินที่ว่าก็ได้แก่วิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก ไนอะซีน ช่วยรักษาระบบผิวหนังและระบบประสาท มีแร่ธาตุฟอสฟอรัส และแคลเซียม ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน นอกจากนั้นก็ยังมีทองแดงและธาตุเหล็ก ที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง บำรุงเลือด ให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต รวมไปถึงไขมันชนิดดี ไม่มีคอเลสเตอรอล อีกทั้งมีเส้นใยอาหารช่วยให้ท้องไม่ผูกและช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ได้ด้วย

บางคนอาจจะไม่ชอบข้าวกล้องเพราะความแข็ง ไม่เคี้ยวนุ่มอร่อยเหมือนข้าวขาว แต่ถ้าอยากให้ข้าวกล้องนุ่มอร่อยละก็ มีเคล็ดลับง่ายๆ

เพียงแช่เมล็ดข้าวกล้องที่จะหุงทิ้งไว้ในน้ำหนึ่งคืน (10-12 ชั่วโมง) ก่อนจะนำมาหุงด้วยวิธีปกติ ข้าวก็จะออกมานุ่มอร่อย หรือหากยังไม่ชินกับข้าวกล้องก็จะผสมข้าวขาวลงไปด้วยก็ได้

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ฮูลาฮูป (hula hoop)



ฮูลาฮูป เป็นชื่อเครื่องเล่นประเภทเครื่องประกอบการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นห่วงพลาสติกกลม ใช้ปั่นให้หมุนรอบตัวผู้เล่นด้วยการโยกขยับเอวให้รับห่วงที่หมุนนั้น.

คำว่า ฮูลาฮูป มาจากคำภาษาอังกฤษว่า hula hoop ตามประวัติ คำนี้เกิดขึ้นในคริสต์ศักราช ๑๙๕๘ หรือพุทธศักราช ๒๕๐๑. คำว่า hula เป็นชื่อการเต้นรำของชาวฮาวาย ส่วนคำว่า hoop แปลว่า ห่วง. hula hoop จึงแปลว่า ห่วงสำหรับเต้นอย่างระบำ ฮูล่า.

ฮูล่าฮู้บ เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ใช้เป็นการเล่นของเด็ก ๆ. เมื่อมีฮูลาฮูป ก็มีผู้นำฮูล่าฮู้บเข้ามาประกอบการเล่นยิมนาสติกลีลาด้วย. ฮูลาฮูปได้เข้าร่วมแข่งขันเป็นครั้งแรกในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ ๒๓ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๗ ณ นครลอสแองเจลิส โดยมีกำหนดว่า ฮูลาฮูปต้องมีขนาดผ่าศูนย์กลาง ๘๐-๙๐ เซนติเมตร มีน้ำหนัก ๓๐๐ กรัม.

ฮูลาฮูป เป็นของเล่นของคนยุคเบบี้บูมที่สร้างกระแสไปทั่วโลกเมื่อทศวรรษ 1950 เป็นอุปกรณ์สำหรับการฟิตซ้อมร่างกาย ฮูปเป็นของเล่นโบราณที่วิวัฒนาการมาจากเถาองุ่นแห้งยุคอียิปต์โบราณ และถูกพรรณนาไว้เป็นรูปภาพบนแจกันในเอเธนส์ในช่วงศตวรรษที่ 5 แต่ฮูปวันนี้ทั้งใหญ่หนัก หรูหรา และพกพาง่ายกว่าฮูปสมัยก่อน อีกทั้งยังแปลงร่างจากของเล่นเด็กมาเป็นอุปกรณ์การออกกำลังกาย เต้นแอโรบิก


ประโยชน์ของการเล่นฮูลาฮูป

1.ช่วยพัฒนา เสริมสร้าง ตลอดจนฟื้นฟูกล้ามเนื้อรอบเอว ทำให้มีความกระชับแข็งแรง อดทน และยืดหยุ่นตัวดีขึ้น

2.ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์กล้ามเนื้อ

3.ช่วยพัฒนาและแก้ไขปัญหาบุคลิกภาพ รูปร่าง ทรวดทรง โดยเฉพาะรอบเอวให้ได้สัดส่วนสวยงาม

4.ช่วยพัฒนาสมอง ระบบประสาท กล้ามเนื้อ หากได้มีการฝึกที่หลากหลายวิธี

5.เป็นการฝึกสมาธิ



วิธีการเล่นฮูลาฮูปให้ได้ผลดีมากที่สุด

1.ยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนและหลังการฝึกทุกครั้ง

2.ยืนแยกเท้าประมาณช่วงไหล่เพื่อให้ขาทั้งสองข้างรับน้ำหนักเท่าๆกัน และเป็นการป้องกันการบาดเจ็บที่เข่า

3.นำห่วงมาคล้องลำตัวให้อยู่ระดับเอว

4.มือทั้งสองข้างจับที่ห่วงในตำแหน่งใกล้ลำตัว พยายามถือห่วงให้ขนานกับพื้น จะช่วยให้เวลาเหวี่ยงทำได้ง่ายขึ้น

5.ถ้าถนัดมือขวา ให้ออกแรงเหวี่ยงจากมือและไหล่ขวาไปทางด้านซ้าย ให้ห่วงขนานกับพื้น โดยยังไม่หมุนเอว เหวี่ยงจนห่วงสามารถเลี้ยงอยู่ที่เอวได้มากขึ้น จึง
ส่ายเอวมารับห่วง แต่ต้องระวังไม่ส่ายเป็นวงกว้าง ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ข้อต่อบริเวณเอวได้ ควรควบคุมการส่ายด้วยการเกร็งรอบเอวไปด้วย

6.ในการเล่นฮูลาฮูปแต่ละครั้ง ความหนัก ความนาน และความถี่ของการเล่นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย อายุ เพศ รวมถึงโรคประจำตัวที่อาจมีผลต่อการเล่นของแต่ละคน จึงควรเริ่มฝึกจากใช้ฮูลาฮูปที่มีน้ำหนักเบาๆก่อน เวลาหรือจำนวนรอบที่หมุนน้อยและควรให้ร่างกายได้พัก อาจฝึกวันเว้นวัน เมื่อร่างกายมีความแข็งแรงอดทนของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มเวลาหรือจำนวนรอบในการหมุน แล้วจึงเพิ่มน้ำหนักของฮูลาฮูปที่ใช้

7.ความหนักของการฝึกฮูลาฮูปยังสามารถเพิ่มได้จากความเร็วในการหมุน โดยในการฝึกแต่ละครั้ง ควรเริ่มฝึกด้วยความเร็วในการหมุนห่วงน้อยๆ ก่อน หรือใช้เพลงประกอบที่มีจังหวะไม่เร็วมาก ฝึกวันเว้นวัน เมื่อร่างกายมีความแข็งแรงอดทนของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วในการหมุนห่วง หรือใช้เพลงที่มีจังหวะเร็วขึ้น




วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ง่วงนอนตอนกลางวัน



การหลับ คือ การหยุดพักของร่างกายโดยการนอนราบ ตาหลับ บางคนอาจมีอาการกรน แสดงว่า "หลับแล้ว" การหลับในแต่ละคนจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากคุณนอนหลับได้ไม่เพียงพอในตอนกลางคืน การนอนตื่นสายในวันรุ่งขึ้นจะไม่สามารถชดเชยได้

การที่เรานอนหลับไม่เพียงพอก็อาจส่งผลกระทบกับการทำงานหรือกิจกรรมประจำวันได้ เช่น อาจทำให้คุณหงุดหงิดกับคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงานอีกทั้งยังทำลายสมาธิในการปฎิบัติงานอีกด้วย

ดังนั้นการพักผ่อนนอนหลับที่พอเพียงจะช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้กับร่างกาย มีดังนี้

1. ควรนอนในช่วงเวลาที่พอดี เช่น การนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงนั้นถือว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุด หรือคุณอาจจะนอนมากกว่านี้ก็ได้ในบางวัน เมื่อได้นอนเต็มอิ่มแล้ว คุณจะรู้สึกแจ่มใสสดชื่น เนื่องจากร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่

2. กำหนดกติกาบนเตียงนอน เตียงนอนหรือที่นอนนั้นเป็นที่สำหรับการหลับพักผ่อน ดังนั้นการนำงานมาทำหรือเล่นเกมส์บนที่นอน ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะไปกระต็นให้คุณตื่นตัวส่งผลให้คุณเกิดอาการกังวลและหลับยากยิ่งขึ้น

3. สร้างนิสัยเวลาตื่นจากการนอน การเข้านอนให้เป็นเวลาทุกวัน จะช่วยปรับสภาพร่างกายให้ง่วงและชินกับเวลาในการเข้านอน และเมื่อเข้านอนเป็นเวลาแล้ว การตื่นนอนตอนเช้าก็ควรที่จะเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน หรือที่เรียกว่า bioclock ที่ร่างกายจะเกิดการชินกับเวลาตื่นนอน

4. ค่อยๆ ปรับและจัดเวลาเข้านอนการค่อยๆ ปรับ เวลาในการเข้านอน นั้นควรค่อยปรับในแต่ละคืน เช่น คืนนี้คุณอาจกำหนดการเข้านอนตอนสามทุ่ม แต่คุณควรเข้านอนก่อนเวลาซัก 15 นาที ในการจัดระบบการนอนแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายจดจำระบบการนอนอย่างสม่ำเสมอ

5. การรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย การออกกำลังกายนั้นสามารถช่วยผ่อนคลายความ เครียดก่อนที่จะเข้านอนได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือเครื่องดื่มชูกำลัง และควรงดการรับประทานอาหารมื้อหนักๆ ก่อนเข้านอน ควรหาน้ำสมุนไพรอุ่นๆ มา ดื่มซึ่งจะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ในกรณีที่คุณอาจมีภารกิจที่ยุ่งเหยิง แต่ก็ต้องการเข้านอนให้ครบ 7-8 ชั่วโมง อาจทำให้คุณหงุดหงิดหรือเครียดได้ ดังนั้น ค่อยๆ ปรับ เวลาเข้านอนตามกิจวัฒประจำวันก้ได้ครับ เมื่อคุณสามารถบริหารกิจกรรมเพื่อให้เข้าสู่ระบบการนอนได้แล้ว อาการหงุดหงิดก็จะบรรเทาลงได้

7. เข้านอนเมื่อง่วงมากๆ คุณไม่ควรงีบระหว่างวันเพราะการงีบจะส่งผลให้คุณนอนหลับยากในตอนกลางคืน

8. หากิจกรรมที่ผ่อนคลายก่อนเข้านอน การหาวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนเป็นอีกทางเลือก ที่ช่วยให้คุณหลับสบาย เช่น การนั่งสมาธิ หาอ่านหนังสือเบาๆ ฟังเพลง สวดมนต์ แช่น้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ ก็จะสามารถช่วยให้ร่างกายคุณได้ผ่อนคลาย ทำให้หลับง่ายขึ้น

9. เข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หากคุณมีปัญหาในการนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะความเครียด กังวล หรือความบอบช้ำทางจิตใจ คุณควรเข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การได้รับการรักษาบำบัด โดยการรับประทานยาหรือวิธีบำบัดอื่นๆ ก็จะช่วยให้คุณผ่อนคลายและสามารถนอนหลับได้

การนอนไม่เพียงพอหรือนอนไม่หลับ จะส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งร่างกายไม่สามารถกำจัดแบคทีเรียที่เข้ามาได้ อีกทั้งยังสามารถก่อให้เกิดโรคต่างๆ และส่งผลเสียต่อสภาพผิวพรรณอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

วันปีใหม่

วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี

ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน

เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)

แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา




ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่ไทย

ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน



การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป

เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่
วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย