วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ...ปาร์ตี้ ปีใหม่



หากคุณกำลังมองหาแรงบันดาลใจเพื่อฉลองปีใหม่ปีนี้ให้สนุกทั้งร่างกายและจิตใจ นี่คือ...คำแนะนำที่จะช่วยให้คุณสนุกเริงร่าในเทศกาลแห่งความสุขกันแบบสุด ฤทธิ์สุดเดช ที่ไม่ทำลายสุขภาพ แต่จะทำให้สุขภาพของคุณดีวันดีคืน

1. รองท้องด้วยสลัดซักจานก่อนไปปาร์ตี้
ก่อน ออกจากบ้านปาร์ตี้ถ้าไม่อยากให้ตัวเอง Enjoy Eating กับอาหารในปาร์ตี้จนลืมอ้วน ก็รับประทานอะไรรองท้องไปก่อนจะดีกว่า แนะนำว่า เป็นเมนูประเภท "สลัดผัก" หยิบจับผักที่มีอยู่ในตู้เย็น ผักอะไรก็ได้ หรือผลไม้อะไรก็ได้ หั่นใส่จานราดด้วยน้ำสลัดสำเร็จรูป หรือถ้าเป็นพวกแครอทก็จับมาหั่นเป็นแท่ง จิ้มทานกับน้ำสลัดก็ได้เช่นกัน แค่นี้ก็ทำให้ทานง่ายอร่อยขึ้น ถึงปาร์ตี้ก็ไม่ต้องกินโน่นกินนี่เพราะคุณรองท้องด้วยสลัดเพื่อสุขภาพมา เรียบร้อยแล้ว

2. ดื่มน้ำตาลทุกครั้งที่จิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ปาร์ตี้ กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดูจะขาดกันไม่ได้ เพราะนอกจากเติมสีสันแล้ว ยังช่วยสร้างอารมณ์สนุก คึกคัก ครึกครื้นให้ด้วย ซึ่งหากดื่มพอควรก็เป็นผลดี แต่ดื่มมากไปคงเสียเรื่องแน่ ๆ อย่างที่รู้กัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำลายสุขภาพ ทำลายผิว เสี่ยงได้ก็เลี่ยงซะ แต่ถ้าไม่ได้ทุกครั้งที่จิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปให้ดื่มน้ำตาม เพื่อไปเจือจาง ช่วยได้เยอะทีเดียว

3.แดนซ์กระจายเพื่อสุขภาพ
ปาร์ตี้ฉลองความสุขแบบนี้ต้องสร้างบรรยากาศให้คึกคักด้วยเสียงเพลง มัน ๆ เร้าใจ อาศัยช่วงเวลานี้ก็ดูเหมาะ ขยับแข้งขยับขา ถ้าเพลงโดนใจก็เริงร่าให้เต็มที่ ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งออกกำลังกาย ได้ทั้งคลายเครียด ได้ทั้งเสียงหัวเราะ

4.ก่อนถึงวันปาร์ตี้ หุ่นสวยได้ภายใน 24 ชั่วโมง
- มื้อเย็นก่อนวันงาน 1 วัน ให้ กินสลัดผักจานใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวโพดต้ม และผักสดต่างๆ ราดด้วยน้ำสลัด Best Foods รสชาติที่ชอบ ดื่มน้ำ 3 แก้ว ตกดึก ๆ อาจหิว รับประทานผลไม้สด 1 จาน หรือเพิ่มรสชาติความอร่อยแบบไม่อ้วนโดยจิ้มกับน้ำสลัดสูตร Low Fat ก็ได้

- ช่วงเช้าของวันมีปาร์ตี้ ในมื้อเช้านี้ทำสลัดทูน่าใส่ผักสลัดกับทูน่ากระป๋อง ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่นเสร็จแล้วดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว และน้ำเปล่า 2 แก้ว

- มื้อกลางวัน หั่นกล้วยหอม 1 ผลใส่ในโยเกิร์ต 1 ถ้วย ทานพร้อมกับสลัดผักอีก 1 จานพร้อมนมพร่องไขมัน 1 แก้ว

- ช่วงบ่าย ๆ อาจจะหิว นำแอปเปิ้ล 1 ลูก หั่นเป็นชิ้น ๆ จิ้มกินกับน้ำสลัดรสเลมอน ดื่มน้ำเปล่า 2 แก้ว

- 6 โมงเย็น ใกล้เวลาปาร์ตี้เข้าไปทุกที กิน สลัดผลไม้ 1 จาน แล้วจากนั้นไม่ต้องรับประทานอะไรอีกเลย แค่เนี้ย...คุณจะรู้สึกตัวเบา หุ่นบางลง

5. เคลียร์งานให้จบก่อนถึงวันปาร์ตี้
คุณ จะไม่สนุกกับปาร์ตี้แน่ ๆ ถ้ายังห่วงหน้าพะวงหลังกับงานที่ยังค้างคาเพราะยังเคลียร์ได้ไม่จบสิ้นแทน ที่จะสนุกกลับทำให้เครียดหนักไปด้วยซ้ำ ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ



วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับดีๆในการนอน


1.ปล่อยวางก่อนนอน
- ปกติ ก่อนนอนคุณทำอะไรบ้าง ห้ามบอกว่า … คิดโน่นคิดนี่ เพราะไม่ใช่ชั่วโมงทำงานที่จะต้องคอยให้ความคิด นี่เป็นเวลาพักผ่อนของคุณนะ หากจะคิดก็คิดแค่วันนี้ทำอะไรมาบ้าง พรุ่งนี้จะทำอะไร อย่าทำให้ตัวเองยุ่งยากใจก่อนนอน เพราะมันเป็นเครื่องบั่นทอนความสุขและชีวิตประการหนึ่ง จะให้ดีควรนั่งสมาธิสัก 20 นาที แล้วแผ่เมตตาใจจะยิ่งสงบ พร้อมต่อการพักผ่อนอย่างยิ่ง

2.อย่าบังคับตัวเอง
-อย่า ไปกะเกณฑ์ตัวเองเลยว่าจะต้องนอนให้ครบกี่ชั่วโมง เพราะร่างกายมีกลไกการตื่นตามธรรมชาติ เพียงกำหนดรู้เท่านั้นว่าต้องตื่นกี่โมงเป็นชีวิตประจำวัน บางคนต้องคอยนั่งนับว่าจะครบ 8 ชั่วโมงไหม ได้สัก 6 ชั่วโมงไหม แม้จะมีค่าเฉลี่ยว่าคนเราควรนอนแค่ไหนจึงจะเต็มอิ่ม แต่เอาเข้าจริง หากจะเอาตัวเลขก็นอนให้ได้สัก 5-6 ชั่วโมงก็แล้วกัน แต่ทั้งหมดต้องทำให้เป็นปกติ ไม่ใช่บังคับตัวเอง

3.สะอาดพอจะนอนหรือยัง
-มนุษย์ งานทั้งหลาย แม้ภาระกิจจะรัดตัว (จนกิ่ว) มาตลอดทั้งวันเหน็ดเหนื่อยปางตาย ก็ต้องไม่ลืมชำระล้างตัวเองให้สะอาดก่อนนอน นอกจากจะกำจัดคราบเหงื่อไคล ไขมัน และฝุ่นที่เคลือบผิวออกไปแล้ว บรรดาจุลินทรีย์เพื่อนรัก ที่รายล้อมรอบตัวก็จะลดจำนวนลง โอกาสเป็นโรคผิวหนังยากยิ่ง

4.คุณผู้หญิงรักสวยรักงามก่
-ก่่อนนอนไม่จำเป็นต้องชโลมมอยส์เจอรไรเจอร์เพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นก็ได้โดย เฉพาะรอบดวงตา เพราะขณะที่นอน ของเหลวรอบตามีระดับสูงพอที่จะทำให้คุณตาบวมตอนเช้าเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเพิ่มให้มันอีก หากตัดใจไม่ได้ ให้ทาเสียก่อนนอน 20 นาทีแล้วซับออก

ส่วนเด็ก ๆ ทั้งหลายอย่าลืมแปรงฟันให้สะอาดก่อนนอน เพราะขณะหลับเป็นเวลาหลายชั่วโมงนั้น จุลินทรีย์ในปากพร้อมที่จะทำงานโดยการดื่มกินเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน เหงือกและลิ้น

5.ท่านอน
-การ นอนไม่ใช่สักแต่ว่าข่มตาลงหลับและกุลีกุจอตื่นขึ้นประกอบภารกิจของวันใหม่ เพราะท่าที่นอนก็มีส่วนสำคัญ;ต่อการทำงานของระบบหายใจ ระบบสูบฉีดโลหิต และระบบประสาทอัตโนมัติอื่น ๆ ของร่างกายไม่ได้หลับไปด้วย
* * ท่านอนที่ ดีที่สุดคือ นอนหงายเหยียดยาวในชุดที่ไม่ต้องรัดติ้วจนหายใจหายคอไม่ออก หนุนหมอนด้วยความสูงพอดี ให้ลำคอเหยียดตรงหากใช้หมอนข้างเล็กหนุนใต้คอแทนศีรษะได้ ยิ่งเป็นการดี เหยียดแขนออกห่างจากตัวเล็กน้อย ปล่อยสบาย ๆ ไม่เกร็งหรือไม่ก็ยกขึ้นไปเหนือศีรษะ งอข้อศอกเล็กน้อย จะช่วยให้การหายใจและการสูบฉีดโลหิตดี กระดูกสันหลังที่เหยียดตรงทำให้ร่างกายแข็ง ท่านอนหงายเต็มตัวทำให้อวัยวะในช่องท้องอยู่สบายในที่ทางของมันไม่ต้องเบียด เสียดเยียดยัดหรือกองออกันอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง


5.พยายามนอนให้ตรงเวลาทุกวัน
-ระบบร่างกายจะได้เคยชิน ถึงเวลาจะเริ่มง่วงและกำหนดให้เราหลับได้โดยปริยาย
คน ที่หลับยาก กรุณาอย่าใช้เตียงเป็นที่อ่านหนังสือ พร่ำบ่น คร่ำครวญ หรือดูโทรทัศน์เป็นอันขาด เตียงนอนควรใช้เป็นที่นอนอย่างเดียว เพราะนักจิตวิทยาเขาศึกษาแล้วว่า หากทำอย่างนี้สิ่งแวดล้อมจะช่วยกำหนดจิตใต้สำนึกของเราให้รับรู้ทันทีที่ หลังถึงเตียงหัวถึงหมอน จะหลับลงได้ราวกับปิดสวิตซ์

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Moi-Même



- Je suis affectueuxe, ambitieuse , sociablese , curieuse et gaie

- Je n'aime pas les gens qui sont méfiante , nerveuse , capricieuses , agressive et timide

- Je suis gaie , curieuse et méfiante


วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

“คริสต์มาสอีฟ” 24 ธันวาคม


วันที่ 24 ธันวาคม หรือที่รู้จักกันว่า “คริสต์มาสอีฟ” โดยในวันนี้ ชาวคริสต์จำนวนมากจะเดินทางไปร่วมพิธีนมัสการ ตามโบสถ์คาทอลิค ทำกันในเวลาเที่ยงคืน หรือที่ทางเยอรมนีเรียกว่า “ไวฮนาคท” (Weihnacht) หรือมีความหมายเดียวกันกับคำว่า "White Christmas" ซึ่งถือว่าเป็น “คืนอันศักดิ์สิทธิ์”

นอกจากนี้ในคืนก่อน วันนี้จะมีงานแครอลลิง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การแสดง ร้องเพลง

และในวันที่ 25 ธันวาคมก็จะมีการเฉลิมฉลองกันตามบ้านเรือน และถือเป็นโอกาสดีที่จะมีการเยี่ยมเยียนระหว่างญาติพี่น้อง ส่วนในตอนกลางคืนทุกคนจะพร้อมหน้าเพื่อมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและอาหารมื้อสำคัญบนโต๊ะนั่นก็คือ ไก่งวง

ไก่งวงเริ่มแพร่ไป สู่อังกฤษเมื่อวิลเลียม สทริกแลนด์ ซื้อไก่งวงหกตัวจากพ่อค้าชาวอินเดียนแดงในเม็กซิโก และนำไปขายในเมืองบริสทอล ประเทศอังกฤษเมื่อค.ศ.1526 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดทรงโปรดเสวยไก่งวงฉลองเทศกาลและชาวอังกฤษก็ปฏิบัติ ตาม แต่ยังถือเป็นของหรูหราจนถึงทศวรรษ 1650

ส่วนในวันที่ 26 ธันวาคมจะเป็น “วันบ็อกซิงเดย์” หรือวันเปิดกล่องของขวัญ ซึ่งวันนี้ในอดีตจะเป็นเป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กล่องทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาวอังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ เพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาได้ทำงานและจัดการเฉลิมฉลองในช่วงคริสต์มาส *แต่ถ้าวันที่ 26 ธันวาคมตรงกับวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ วันบ็อกซิ่งเดย์ก็จะเลื่อนไปเป็นวันจันทร์แทน



วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"กีวี" สุดยอดพลังสารอาหาร



ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่โชคดี เพราะมีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการปลูกผลไม้หลายๆชนิด ทำให้คนไทยเรามีผลไม้กินไม่ขาดสายตลอดทั้งปี แล้วแต่ใครจะเลือกตามความชอบของตัวเอง ถ้าใครกินผลไม้้ได้ทุกประเภทก้คงไม่มีปัญหา เพราะมั่นใจได้ว่าจะได้รับวิตามินครบถ้วน แต่สำหรับใครที่ค่อนข้างจะเลือกรับประทาน อาจต้องคิดหนักหน่อยว่าจะเลือกซื้อผลไม้ชนิดใด อย่างไร เพื่อให้คุ้มค่ากับราคา และได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ ข้อแนะนำง่ายๆ คือเลือกผลไม้ที่มีคุณค่าสารอาหารสูง และคำนึงถึงปริมาณวิตามินที่ร่างกายจะได้รับ ซึ่งหนึ่งในบรรดาผลไม้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ในปริมาณแคลอรีต่ำที่สุด คือ “กีวี”

แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด
นอก จากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคย ยังมีกีวีโกลด์ หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่อง วิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็น ได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี
วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ คุณสมบัติ ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทอง ซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์
ไฟ เบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มะระ... ขมแต่ดี

มะระ เป็นพืชล้มลุกชนิดไม้เถา จัดเป็นผักตระกูลเดียวกับ ฟัก แตงกวา บวบ ค้นพบครั้งแรกในประเทศจีน ก่อนที่แพร่ขยายไปในแถบทวีปเอเชียและอินเดีย จนกลายเป็นผักที่ใครๆ ก็รู้จักทุกวันนี้ ปัจจุบันในบ้านเรานิยมบริโภคมะระเพียงสองชนิด คือ มะระขี้นก ซึ่งมีขนาดเล็ก ผิวขรุขระ สีเขียวแก่ หัวและท้ายเรียวแหลม มีรสชาติขม และมะระจีน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ชาวจีนนำเข้ามาในประเทศไทย ลักษณะผลมีขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน น้ำหนักมาก แต่มีความขมน้อยกว่า

มะระทำไมขม
เหตุที่มะระมีรสขม เพราะในมะระมีสารเคมีชนิดหนึ่งชื่อ Momodicine ซึ่ง มีสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้อยากอาหาร ขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งรสขมที่แฝงอยู่ในผลมะระยังมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเรื่องท้องผูกเป็นประจำ จึงสมควรที่จะนำมะระมาปรุงอาหารกินบ่อยๆ ซึ่งทั้งมะระจีนและมะระขี้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมายหลายชนิด เช่น มะระต้มจืด แกงจืดมะระยัดไส้ มะระผัด ยำมะระสด หรือลวกจิ้มน้ำพริก แถมราคาก็ไม่แพงมาก ตามท้องตลาดโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 10-30 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในช่วงๆ นั้น

หวานเป็นลม ขมเป็นยาจริงๆ
แม้มะระจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องความขมจนติดลิ้น แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการ เพราะในมะระมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกระดูกและฟัน ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีฟอสฟอรัสซึ่งทำงาน ซึ่งทำงานสัมพันธ์กับแคลเซียมในการบำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง กล้ามเนื้อ วิตามินซีที่ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งยังมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโลกและปกป้องเซลล์จากการทำลายของสารก่อมะเร็ง

นอกจากนั้นส่วนๆ ของต้นมะระยังเป็นพืชผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาอีกหลายประการ เช่น ใบสดใช้ต้มดื่มเพื่อบรรเทาอาการหวัด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ ลดการบวมหรือฟกช้ำตามร่างกาย และสามารถใช้ทาแก้อาหารผื่นคันได้ด้วย ส่วนผลมะระเมื่อสุก คั้นเอาแต่น้ำ ใช้ทาหน้าเพื่อแก้อาการสิวอักเสบ ผลดิบ ลวกกินกับน้ำพริก แก้อาการปวดเข่าในผู้สูงอายุ หรือแม้แต่เมล็ดมะระก็มีคุณสมบัติในการปรับธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุล รากสดของมะระใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข้ และบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวารได้ด้วย ในการเลือกซื้อมะระมาทำอาหารแต่ละครั้งนั้น ถ้าไม่อยากได้มะระแก่ไปทำอาหาร ควรสังเกตที่หนามของมะระถ้าหนามมีลักษณะแข็ง แสดง ว่ามะระนั้นแก่เต็มที่ ไม่ควรซื้อเพราะจะมีรสขมมาก แต่ถ้าหนามมีลักษณะอ่อนนิ่ม แสดงว่าเป็นมะระอายุน้อยและไม่ขม สามารถนำมาประกอบอาหารได้

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับง่าย ๆ แก้ริมฝีปากแห้ง


ใครที่ประสบกับปัญหาริมฝีปากแห้ง วันนี้มีวิธีแก้มาฝากกัน...

อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่า แท้จริงแล้วอาการปากแห้งมีสาเหตุมากจาก การดื่มน้ำน้อยความเครียด การพูดเป็นเวลานาน ๆ การรับประทานยารักษาโรคบางชนิด รวมทั้งการรับรังสีเพื่อการรักษาโรค


อาการ ปากแห้งหากปล่อยทิ้งไว้ อาการอาจรุนแรงจนริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุย หนักเข้าปากอาจเริ่มเจ่อบวมแดงจนเกิดอาการเจ็บแสบในยามขยับปากหรือรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน นอกจากนี้ปากแห้งมากจนน้ำลายเหนียว ก็สามารถส่งผลให้เชื้อโรคในช่องปากจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดกลิ่นปากตามมาอีกด้วย


* สิ่งสำคัญที่สุด ในการแก้อาการปากแห้งคือการดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆหรือจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากปากแห้งมากจนลอกเป็นขุย ให้ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อยใช้สำลีหรือทิชชูชุบให้เปียกพอหมาดๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ 3-5 นาที หรือเช็ดไล้เบา ๆไปบนริมฝีปาก จะช่วยให้ขุยต่าง ๆ หลุดลอกออกไปได้ และหมั่นทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลบนริมฝีปากเป็นประจำ


ถ้าริมฝีปากแห้งอีกครั้งหน้า ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กินฟาสต์ฟู้ดให้ได้คุณค่า


ฟาสต์ฟูด หมายถึง อาหารจานด่วน หรืออาหารจานเดียวแบบตะวันตก กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่น อาหาร ประเภทนี้มักจะมีปริมาณไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง แต่มีเส้นใยอาหารต่ำ และส่วนใหญ่จะขายคู่กับน้ำอัดลม ซึ่งให้พลังงานที่ได้จากน้ำตาลโดยไม่ให้สารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินฟาสต์ฟูดเป็นประจำอาจทำให้อ้วนและมีผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว


อย่างไรก็ตาม ฟาสต์ฟูดยังให้โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดในปริมาณมากพอควร ถ้ารู้จักเลือกกินฟาสต์ฟูดอย่างเข้าใจจะช่วยให้ได้คุณค่าทางโภชนาการดีขึ้น โดยเลือกให้มีความหลากหลายของประเภทอาหาร เช่น เมื่อกินไก่ทอดควรสั่งสลัด และมันบดกินร่วมด้วย กินมิลค์เชคแทนน้ำอัดลมหรือเมื่อกินพิซซ่าควรกินร่วมกับสลัดผัก และใส่น้ำสลัดแต่พอควร หรือเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำ และถ้ากินฟาสต์ฟูดมื้อใดก็ตาม จะต้องปรับการกินอาหารในมื้ออื่นด้วยการเลือกกินผัก ผลไม้ ธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพื่อให้สมดุลกับปริมาณไขมันในฟาสต์ฟูดและเพิ่มใยอาหาร


วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"นมถั่วเหลือง" กับ "นมวัว" อันไหนดีกว่ากัน?


ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของ โปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น


พลังงาน ที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับ ผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว หากเป็น นมถั่วเหลืองธรรมดา ที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้นๆ

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สารพัดประโยชน์จาก...พริก


พริก ช่วย บรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก ช่วย ลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก ช่วย ลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดกแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้ นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรที นสูงถึง 7 เท่า คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลาย เซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม เกรนลงได้


พริก ช่วย เสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า น้ำ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดีนั่นเอง

เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซิน ซึ่ง ให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์ เลยทีเดียว


วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด

นอกจากกินตามกรุ๊ปเลือด จะมีแนะนำให้เห็นกันมามากแล้ว การออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดก็สำคัญมิใช้น้อย มาดูกันว่า แต่ละกรุ๊ป ต้องทำอย่างไร

เลือดกรุ๊ปเอ ควร ออกกำลังกายแบบช้า ๆ ออกแรงไม่มาก เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย สืบเนื่องจากอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

เลือดกรุ๊ปบี ที่รับประทานอาหารทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไว ให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ กอล์ฟ ปิงปอง

เลือดกรุ๊ปเอบี เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่ามักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน เมื่อทราบแล้วก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ก็ควรเพิ่มการออกกำลังกายในแบบที่เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

เลือดกรุ๊ปโอ หมาะ สมกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและผักได้ในปริมาณ มาก ทำให้มีโครงกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น

ไม่ว่าคุณจะมีเลือดอยู่ในกรุ๊ปใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอก จากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกายให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20 – 30 นาที ในช่วงเวลา 11.00 – 14.00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีรังสียูวีในระดับเข้มข้น ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดี 3 เพื่อช่วยลำเลียงแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ไปยังกระดูก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง หากไม่ได้ออกมารับแสงแดดด้วยการนอนอาบแดดอยู่เฉย ๆ กับที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ป้องกัน "โรคตาแดง"


โรคตาแดง (Conjunctivitis) เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตาจากการติดเชื้อไวรัส เป็นกลุ่มอาดิโนไวรัส
การติดเชื้อไวรัสตาแดงมีทั้งหมด 3 ชนิด คือ

1.ชนิดคออักเสบร่วมด้วย
2.ชนิดตาอักเสบไม่มาก
3.ชนิดตาอักเสบรุนแรง ซึ่งชนิดสุดท้ายเป็นชนิดที่มีความรุนแรงมากกว่าทุกชนิด อาการติดเชื้อไวรัสตาแดงชนิดมีเลือดออก (Acute hemorrhagic Conjunctivits) นี้ ระยะเวลาของโรคตาแดงนี้จะนาน 10-14 วัน



การติดต่อ โรคตาแดง
1.การคลุกคลีใกล้ชิด หรือสัมผัสกับผู้ป่วยโรคตาแดง ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดการติดต่อ โรคตาแดง จากการสัมผัสน้ำตาของผู้ป่วยที่ติดมากับนิ้วมือและแพร่จากนิ้วมือมาติดที่ตาโดยตรง
2.ใช้เสื้อผ้า หรือสิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
3.ฝุ่นละออง หรือน้ำสกปรกเข้าตา
4.แมงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา
5.ไม่รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะมือและใบหน้าทั้งนี้ โรคตาแดง จะไม่ติดต่อทางการสบสายตา ทางอากาศ หรือรับประทานอาหารร่วมกัน และอาการต่างๆ จะเกิดได้ภายใน 1-2 วัน และระยะการติดต่อไปยังผู้อื่นประมาณ 14 วัน

อาการของโรคตาแดง
ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส จะมีอาการตาแดง เคืองตา ตาขาวจะมีสีแดงเรื่อๆ น้ำตาไหลเจ็บตา มักจะมีขี้ตามากร่วมด้วย จากการติดเชื้อแบคทีเรียมาพร้อมกัน ต่อมน้ำเหลืองหลังหูมักเจ็บและบวม มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วจะติดต่อมายังตาอีกข้างได้ถ้าไม่ระวังให้ดี ถ้าระมัดระวังไม่ให้น้ำตามข้างที่ติดเชื้อไวรัสมาถูกตาข้างที่ดีจะไม่เป็นตาแดง แต่ส่วนใหญ่มักเป็นไปอีกข้างอย่างรวดเร็ว

ฤดูกาล
โรคตาแดงมักพบผู้ติดเชื้อไวรัสตาแดงในฤดูฝน ระยะเวลาของโรคจะเป็นประมาณ 5-14 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น
โรคแทรกซ้อน โรคตาแดงมีอาการเคืองตามาก ลืมตาไม่ค่อยได้ มักมีอาการกระจกตาอักเสบแทรกซ้อน ซึ่งจะดีขึ้นได้ประมาณ 3 สัปดาห์ หรือบางรายเป็น 1-2 เดือน ทำให้ตามัวพร่าอยู่เป็นเวลานาน


การรักษา
โรคตาแดงจะรักษา โรคตาแดง ตามลักษณะอาการของโรค เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสนี้โดยตรง ถ้ามีขี้ตามากก็หยอดยาปฎิชีวนะ มีไข้ เจ็บคอ ก็ใช้ยาแก้อักเสบร่วมด้วยกับยาลดไข้ ยาลดปวด ผู้ป่วย โรคตาแดง ต้องพยายามรักษาสุขภาพพักผ่อนมากๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการตาแดงอย่างรุนแรง ไม่ควรทำงานดึกควรนอนให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องปิดตาไว้ตลอด ยกเว้นมีกระจกตาอักเสบ เคืองตามาก จึงปิดตาเป็นครั้งคราว และควรสวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันแสง ควรงดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน ทุกครั้งที่จับตาควรล้างมือให้สะอาด ผู้ป่วยไม่ควรลงเล่นน้ำในสระ จะแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปในน้ำได้ หากรักษาด้วยยาป้ายตา หรือยาหยอดตานานเกิน 7 วัน แล้วอาการยังไม่ทุเลา หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น ปวดตามาก ตามัว ขี้ตาเป็นหนอง ลืมตาไม่ขึ้น มีไข้สูง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะหากทิ้งไว้นานถึงขั้นตาบอดได้

การป้องกัน โรคตาแดง
1.ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
2.ไม่คลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
3.ถ้ามีฝุ่นละออง หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
4.อย่าปล่อยให้แมลงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา
5.หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ให้สะอาดอยู่เสมอ
6.ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ปลอกหมอน เพื่อป้องกันการกระจายของโรค

ทั้งนี้หากมีอาการตาแดง ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการเกิดอาการตาแดง ซึ่งนอกจากจะเกิดจากเชื้อไวรัสแล้ว อาจเกิดจากสารเคมี หรือรังสี โดยเฉพาะรังสีอุลตราไวโอเลตได้ ที่สำคัญ ผู้ป่วยโรคตาแดงควรหยุดเรียนหรือหยุดงานรักษาตัวอยู่ที่บ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคตาแดงลุกลามหรือติดต่อสู่คนอื่น




วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีเร่งผมให้ยาวเร็ว


1.ออกกำลังกายให้เส้นผม เร่งสปีดความเร็วให้ เร่งผมยาว เร็วแบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย
2.เพิ่มโปรตีน Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้
3.กินปลา Richard Ward กล่าวไว้ว่า ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย
4.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ
5.แปรงให้ถูก หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน
6.ตัดผม อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไป ในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย
7.ต่อผม สำหรับ สาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะ ต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"กะหล่ำปลี" ช่วยต้านมะเร็ง


"กะหล่ำปลี" เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่ให้คุณค่า หากินง่ายในบ้านเรา กะหล่ำปลีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรป โดยชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่เริ่มปลูกกะหล่ำปลี ผักชนิดนี้มีประโยชน์ตรงที่เป็นพืชที่ให้วิตามินซีสูงแถมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูก คนในสมัยโบราณใช้กะหล่ำปลีเป็นยา ว่ากันว่ากะหล่ำปลีช่วยสลายหนองจากแผลและมะเร็ง ดังนั้นกะหล่ำปลีจึงถูกใช้เป็นยาครอบจักรวาลในประวัติศาสตร์โรมัน

ปัจจุบันมีคนให้ความสนใจกะหล่ำปลีกันมากเนื่องจากมีการทดลองหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากะหล่ำปลีมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เช่น มีการทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำหลายชนิด แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าในตัวหนู พบว่า หนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง และจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าน้ำคั้นจากกะหล่ำ สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้

จากผลวิจัยเหล่านี้ทำให้เชื่อกันว่า การบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาส การเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึง 66% กินกะหล่ำปลีปรุงสุกวันละ 2 ช้อนโต๊ะป้องกันมะเร็ง ในช่องท้อง และการกินกะหล่ำปลีสดก็จะดีกว่ากะหล่ำปลีสุกอีกด้วย เพราะจะไม่สูญเสียวิตามินไปกับ ความร้อนมากนัก

แต่ในบ้านเรา กะหล่ำปลีถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนกินต้องแน่ใจว่าล้างสะอาดปราศจากสารพิษแล้ว


วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

5 เคล็ดลับ ทานไขมันอย่างสุขภาพดี


ทำไมหลายคนจึงมองว่าไขมันเป็นสิ่งเลวร้าย หรือว่าเราจะรู้จักไขมันกันน้อยเกินไป เพราะไขมันไม่เพียงเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้วไขมันบางชนิดยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคและเสริมสุขภาพได้อีกด้วย อ.กัญชลี ทิมาภรณ์ นักโภชนาการโรงพยาบาลพระรามเก้าได้เผย 5 เคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการทานไขมันมาฝากกัน
1. อยากกินของผัด ของทอดต้องเลือกน้ำมัน คงเป็นที่ยอมรับกันว่าอาหารผัด หรือทอดเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน แต่ที่ต้องลดหรืองดนั้นก็เพราะห่วงเรื่องสุขภาพ ดังนั้นการเลือกน้ำมันที่ใช้ทอดจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่อดไม่ได้
2. พิถีพิถันกับประเภทไขมัน ไม่ใช่ปริมาณไขมัน คงต้องยอมรับว่าไขมันหรือน้ำมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดีในการประกอบอาหาร ซึ่งน้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคร้ายต่างๆ ลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ได้
3. หลีกเลี่ยงการกินไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานซ์ ไขมันเหล่านี้มักพบใน เนยเทียม มาการีน กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เนื้อสัตว์ติดมัน ฯลฯ ซึ่งเป็นไขมันที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังทำให้ระดับคอเลสเทอรอลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ ตามมา

4. อย่าลดไขมันตามแบบแฟชั่นด้วยอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารไขมันต่ำไม่ได้แปรว่าแคลอรี่จะต่ำไปด้วย มีหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไขมันต่ำ แต่พบวามีน้ำตาล สารเพิ่มความเหนียว และสารปรุงแต่งอื่นๆ อีกมากมาย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้พลังงานสูงกว่าอาหารไขมันตามธรรมชาติ

5. ทดแทนไขมันหนักด้วยไขมันน้ำ เนย ครีม ไขมันสัตว์ เป็นไขมันหนักที่ทานแล้วจะทำให้มีแนวโน้มเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคอ้วน และภาวะคลอเรสเตอรอลสูง ดังนั้นจึงควรทดแทนไขมันหนักเหล่านี้ด้วยการใช้ไขมันน้ำแทน เพื่อให้ร่างกายได้รับไขมันเพียงพอในแต่ละวัน
อย่างไรก็ดี แม้จะรู้ว่าไขมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแต่ก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายแต่ละคน เพื่อสุขภาพที่ดีจะได้อยู่กับเราตลอดไป


วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ : การชงชา


มารู้จักก่อนว่า ชา มีอยู่ 2 ชนิดคือ ชากลิ่นกับชาคอ ชากลิ่นจะมีกลิ่นหอมมาก รสชาติอ่อนนุ่ม ชุ่มคอ สีของน้ำจาง ๆ ส่วนชาคอนั้น จะมีความหอมน้อยกว่า แต่มีรสชาติเข้มข้นกว่า ชุ่มคอมากกว่า สีของน้ำชาที่ชงออกมาจะเข้มกว่า เมื่อได้ชาดี ๆ มา

วิธีการที่ถูกต้องในการชงชาก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเท่าเทียมกัน เมื่อจะเริ่มชงชาให้ลวกกา และถ้วยชาด้วยน้ำร้อนก่อนแล้วจึงใส่ใบชาป่น 1 ส่วนต่อใบชาที่เป็นใบ ๆ 4 ส่วน (ใบชาป่นมักจะอยู่กับห่อ ก้นกระป๋อง) ใช้น้ำเดือดเทลวกใบชาอย่างเร็ว แล้วรีบเทน้ำออกทิ้งไป แล้วรินน้ำเดือดลงไปอีกครั้ง โดยรักษาระยะห่างของกาน้ำเดือดกับกาน้ำชาไว้มาก ๆ โดยยกกาต้มน้ำเดือดสูง ๆ แรงน้ำร้อน ๆ ที่กระทบกับใบชา จะช่วยให้น้ำชาออกรสชาติเร็ว และมีกลิ่นหอมจัด หากมีฟองเกิดขึ้นให้ปาดฟองทิ้งเสียก่อนที่จะรินชา โดยกดพวยกาน้ำชาให้ใกล้ ๆ ขอบปากถ้วยชา ให้มากเท่าที่จะทำได้ จำง่าย ๆ ว่า "ชงสูง รินต่ำ"
แล้วก็จะได้น้ำชาที่หอมหวานและมีรสชาติสมบูรณ์ ในกรณีที่อาจทำได้ ว่ากันว่า การต้มน้ำเดือดด้วยไฟจากเตาถ่าน จะได้น้ำเดือดที่มีกลิ่นไอของธรรมชาติมากกว่าต้มด้วยเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยชูรสน้ำชาที่ชงได้มากยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพพร้อมรับ "ลมหนาว"

ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนอาจทำให้หลายคนเจ็บ ไข้ได้ป่วยหรือผิวแห้งแตกลอกได้ง่ายๆ วันนี้มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้คุณพร้อมสู้กับลมหนาวในปีนี้มาฝาก

1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมากๆออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไปการรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงจะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกรงกันว่าจะระบาดระลอกที่ 2ด้วย

2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมเท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

3.อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกหลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน ที่แออัดยัดเยียดโดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่

4.ล้างมือบ่อยๆ เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ลูกบิดประตูราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น

5.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม

6.หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม ควรมีผ้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย

7.ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้วก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมากหรืออากาศหนาวทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขนสัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนานๆในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้าก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้

8.พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะกับฤดูกาลหากอยู่ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย


9.การอาบน้ำหลังจากตื่นนอนอาจไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่หรือฟอกเพียงบางจุดหรือหากอยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆอาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำวันละสองครั้งตาม ปกติ และไม่ควรอาบน้ำนานๆ

10.ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป โดยเฉพาะการล้างหน้าเพราะน้ำอุ่นจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฟองมาก ๆเพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว และไม่ควรเช็ดถูผิวแรงๆเพราะจะยิ่งทำให้ผิวลอกมากขึ้น

11.ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำขณะที่ตัวยังหมาดๆ จะช่วยป้องกันผิวแห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้ และควรทาให้ทั่วร่างกายไม่ใช่เฉพาะแขนกับขาเท่านั้น รวมทั้งส่วนที่เรามักไม่ใส่ใจ เช่น เท้าการทาโลชั่นและสวมถุงเท้านอน จะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นลดปัญหาส้นเท้าแตกได้อีกด้วย ส่วนมือที่แห้งและแตก ก็ควรหมั่นทาครีม หรือโลชั่น เช่นกันนอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วยสำหรับใครที่มือแห้งมากๆ ลองนวดด้วยน้ำมันมะกอกทิ้งไว้สักพักล้างออกด้วยน้ำสบู่ แล้วนวดด้วยครีมทามืออีกครั้งไม่ช้าริ้วรอยแห้งแตกก็จะหายไปส่วนผู้ที่ต้องใช้มือทำงานสัมผัสน้ำอยู่ตลอดเวลา เช่น ล้างจาน ซักผ้าช่วงหน้าหนาวจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำ

12.ริมฝีปากที่แห้งแตกก็ควรได้รับการบำรุงและปกป้องเช่นกันสมัยนี้มีลิปมัน ลิปบาล์ม ให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งชนิด For Menของคุณผู้ชายด้วย สำหรับผู้ชายที่รู้สึกเขินเวลาใช้ลิปแท่งอาจเลือกซื้อชนิดตลับไว้พกติดตัวก็ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆเพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากขึ้น

13.ในช่วงหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อยๆ เช่นกันและใช้แชมพูในปริมาณน้อยๆ ก็เพียงพอแล้วเพราะจะทำให้เส้นผมแห้งแตกปลายได้ง่ายและยังทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไปจนเกิดรังแคได้อีกด้วย สำหรับผมที่แห้งมากการเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสำหรับผมแห้งจะช่วยได้หลังการสระผมอาจใช้น้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆเพื่อลดไฟฟ้าสถิต ช่วยให้ผมไม่ฟู


14.บำรุงร่างกายภายนอกกันแล้วก็อย่าลืมบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้นจากภายในด้วยโดยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันโดยเฉพาะน้ำอุ่นซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้นนอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้สดให้มากด้วยเพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายใน

15.การเลือกซื้อเสื้อกันหนาวก็สำคัญ บางคนเลือกซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง เนื่องจากมีราคาถูกแต่ก็อาจนำเชื้อโรคต่างๆ ติดมาด้วย ควรเลือกให้ดีอย่าให้มีรอยด่างดำและรอยคราบสารคัดหลั่งต่างๆ หรือกลิ่นอับชื้นติดอยู่เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคได้ เช่น โรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ เชื้อราหรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ก่อนนำไปสวมใส่ควรต้มในน้ำเดือด และซักให้สะอาดแล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท แม้แต่เสื้อกันหนาวใหม่ๆก็ควรนำไปซักแล้วตากแดดก่อนนำไปสวมใส่เช่นกันเพราะในเนื้อผ้าอาจมีสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังหรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ได้เช่นกัน

สำหรับ 15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวทั้งหมดที่กล่าวมาคงจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงพร้อมรับลมหนาวที่กำลังมาเยือน

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

6 เคล็ดลับก่อนอาบน้ำ



1. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัดหรือการอาบบน้ำอุ่นนานๆถ้าเลี่ยงไม่ได้หลังอาบน้ำให้กระชับผิวด้วยน้ำเย็น หรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อกระชับรูขุมขน


2. การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้คุณสาวๆหลับสบายมากขึ้น

3. ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเลยทันทีเพราะจะทำให้ไม่สะบายท้อง

4. ก่อนอาบน้ำลองจุดเทียนหอมและอาบน้ำอย่างละเมียดละไม แช่น้ำอุ่นซัก 15 นาทีจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้

5. ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัวควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้ายคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเพราะระบบหมุนเวียนโลหิตจะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว

6. หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันทีเพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้เพียง 6 เทคนิคง่ายๆนี้ก็จะสามารถช่วยให้คุณสดชื่น คลายเครียด และดูอ่อน

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แคนตาลูป.. น้ำผลไม้ลดไข้


แคนตาลูป ผลไม้รูปทรงกลมๆ รีๆ เนื้อมีสีส้มสวย รสหวานเย็น เป็นพืชล้มลุกประเภทไม้เลื้อย ซึ่งอยู่ในตระกลูเดียวกันกับแตงโมไทย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo var. cantalupensis แคนตาลูปนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “แตงคุณหนู” เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย

แคนตาลูปได้เข้ามาปลูกในบ้านเราได้ประมาณ 20 กว่าปีมานี้เอง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อที่มีรสชาติเยี่ยม เสน่ห์ของแคนตาลูปอยู่ที่กลิ่นหอม เนื้อมีความกรอบเมื่อเคี้ยว ประกอบกับรสหวาน ยิ่งถ้ากินตอนแช่เย็นยิ่งอร่อยชื่นใจ นอกจากกินเป็นผลไม้สดแล้ว แคนตาลูปยังนิยมนำมาทำน้ำผลไม้เครื่องดื่มสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม

ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U. ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป แคนตาลูป แคนตาลูปจะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

น้ำแคนตาลูปนอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้ การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี ไม่อ่อนเกินไป แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไป เมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กินของมันๆทำให้หัวไม่แล่น



นักวิจัยพบว่า ของกินยามเช้าอย่างเช่น กาแฟกับบิสกิตเคลือบช็อกโกแลต ซึ่งมีไขมันสูงนั้น นอกจากส่งผลเสียระยะยาวทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวานและหัวใจล้มเหลวแล้ว ยังก่อผลเสียเฉพาะหน้าด้วย นั่นคือ ร่างกายรับงานหนักๆ ได้น้อยลงและสมองเฉื่อยชาขึ้น

งานวิจัยซึ่งได้รับทุนจากมูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษชิ้นนี้ ได้ข้อสรุปจากการทดลองกับหนูว่า หลังจากได้รับอาหารที่มีไขมันสูงอยู่นาน 9 วัน หนูทดลองกลุ่มนี้สามารถวิ่งบนสายพานได้แค่ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารไขมันต่ำ หนูพวกนี้ยังเลือกทางวิ่งในเขาวงกตผิดพลาดมากกว่าด้วย แสดงว่าระดับสติปัญญาหรือเชาว์ไวไหวพริบของพวกมันได้รับผลกระทบ

สำหรับสาเหตุที่ไขมันทำให้เกิดผลทางลบอย่างปุบปับเช่นนี้นั้น นักวิจัยของออกซฟอร์ดได้พบว่า กรดไขมันในเลือดซึ่งมีในระดับสูง และอุปนิสัยการกินที่ไม่ถูกหลักอนามัย มีความสัมพันธ์กับอาการหัวใจล้มเหลว นักวิจัยจึงต้องการศึกษาว่าอาหารไขมันสูง ซึ่งหมายถึงการกินเนื้อแดง ชีสและอาหารรสหวาน ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันจะทำให้เกิดผลอย่างไร การทดลองกับหนูครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า การกินไขมันได้เพิ่มระดับโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งจะลดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ ทำให้ร่างกายมีความทรหดอดทนน้อยลง ในเรื่องผลต่อสมองนั้น อาหารไขมันสูงทำให้ความสามารถในการจดจำหรือใช้ความคิดลดน้อยลง และนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น สมองเสื่อม

คำแนะนำก็คือ จำกัดการกินไขมันไม่ให้เกิน 30% ของปริมาณแคลอรีที่เราได้รับต่อวัน แต่ส่วนใหญ่เรามักได้รับเกิน 40% หรือกระทั่ง 50% ในแต่ละวัน ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่หนูทดลองกลุ่มนี้ได้รับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กาแฟไม่ได้ช่วยลดความอ้วน


โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวทางคณะกรรมการอาหารและยา ได้เปิดเผยว่าปัจจุบันพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากอวดอ้างสรรพคุณว่ามีผลในการลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างและโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงเพื่อจูงใจให้ซื้อผลิตภัณฑ์ โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางวิชาการยืนยันว่าสารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนักหรือทำให้ผิวสวยหรือเพิ่มความงามแต่อย่างใด


ในทางกลับกันหากดื่มมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจเกิดจากการเติมน้ำตาล ครีม หรือนมในกาแฟ อีกทั้งทำให้หัวใจทำงานหนัก เนื่องจากได้รับกาเฟอีนมากเกินไป โดยเฉพาะในหากร่างกายของคนที่มีความไวต่อกาเฟอีน และที่ร้ายไปกว่านั้นบางคนอาจได้รับอันตรายจากการเจือปนของยาบางชนิดที่ลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์ เช่น ยาไซบูทรามีน จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วขึ้น เป็นต้น
ดังนั้นการที่จะบริโภคกาแฟลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ควรมีการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญควรที่จะศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่จะบริโภคให้ละเอียดรอบคอบให้ดีก่อนว่าได้รับการรับรองถูกต้องตามหลัก อย. หรือไม่ และเมื่อบริโภคแล้วจะมีผลกระทบใดเกิดขึ้นกับร่างกายบ้าง

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 2. มะเขือเทศราชินี 3. มะละกอสุก 4. กล้วยไข่ 5. มะม่วงยายกล่ำ 6. มะปรางหวาน 7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด 9. มะม่วงเขียวเสวยสุก 10. สับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร 2. มะขามเทศ 3. มังคุด 4. ลิ้นจี่ 5. สาลี่

11 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่ 2. ฝรั่งไร้เมล็ด 3. มะขามป้อม 4. มะขามเทศ5. เงาะโรงเรียน 6. ลูกพลับ 7. สตรอเบอร์รี่ 8. มะละกอสุก 9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา 11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง 2. มะขามเทศ 3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ 4. มะเขือเทศราชินี 5. มะม่วงเขียวเสวยสุก 6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 7. มะม่วงยายกล่ำสุก8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 9. สตรอเบอร์รี่ 10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิลส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ
มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี

โป๊ยเซียน : สุดยอดไม้ดอกแห่งความนับถือของชาวจีน

เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ คนไทยที่นิยมปลูกไม้ดอกส่วนใหญ่ยังคงให้ความสนใจกับกระแส "ลีลาวดีฟีเวอร์" ต่างจากเมื่อครั้งที่เรียกชื่อว่า "ลั่นทม" อย่างสิ้นเชิง ทำให้นึกถึงไม้ดอกชนิดหนึ่งที่คนไทยมากมายเคยเสาะหามาปลูกกันอย่างกว้าง ขวางอยู่หลายปีก่อนที่จะค่อยๆ ลดความนิยมลงไป จนอยู่ในระดับปกติเช่นปัจจุบัน ไม้ดอกชนิดที่กล่าวถึงนั้น ก็คือโป๊ยเซียนนั่นเอง

โป๊ยเซียน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Euphorbia Milii Desmoul อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีหนามแหลมแข็งปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้น
ใบ รูปร่างยาวรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ส่วนใหญ่ใบจะเหลืออยู่บริเวณปลายกิ่งเป็นกระจุก ไม่แตกกิ่งก้านมากนัก

ดอกออกเป็นกลุ่ม และมักมีจำนวนคู่ ตั้งแต่ ๒ ดอกขึ้นไปถึง ๓๒ ดอก แต่ละดอกมีกลีบแบนอยู่ตรงข้ามกัน ๑ กลีบ แต่ละกลีบรูปร่างคล้ายไต ปกติดอกกว้างประมาณ ๑ เซนติเมตร มีสีแดง ชมพู เหลืองอ่อน ฯลฯ มีเกสรตัวผู้และรังไข่อยู่ตรงกลางดอก อาจติดผลและมีเมล็ดขยายพันธุ์ได้ แต่ปกตินิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง เมื่อหักกิ่งจะมีน้ำยางสีขาวข้นไหลออกมา

โป๊ยเซียนเป็นต้นไม้ที่นิยม ปลูกในประเทศจีนมาหลายพันปี แต่นักพฤกษศาสตร์ยืนยันว่า แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของโป๊ยเซียนอยู่ที่เกาะมาดากัสการ์ ซึ่งโป๊ยเซียนดั้งเดิมอาจมีลำต้นสูงถึง ๒ เมตร และดอกมีสีแดงอ่อน จนกระทั่งถูกคัดเลือกปรับปรุงจนเป็นต้นโป๊ยเซียนที่มี ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง และมีกลีบดอกเพิ่มมากขึ้น เป็นที่เคารพของชาวจีนสืบมาหลายพันปีจนปัจจุบัน เหตุที่ชาวจีนนับถือต้นโป๊ยเซียน เนื่องจากคำว่าโป๊ยเซียนที่ชาวจีนนำมาตั้งเป็นชื่อต้นไม้ชนิดนี้ คือชื่อของผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงทั้งแปดของชาวจีน ประกอบด้วย ทิก๋วยลี้, ฮั่นเจงหลี, ลื่อท่งปิน, เจียงกั๋วเล้า, น่าไชหัว, ฮ่อเซียนโกว, ฮั่นเซียงจื๊อ และเช่าก๊กกู๋ สำหรับชาวจีนแต้จิ๋วเชื่อว่าโป๊ยเซียนเป็นต้นไม้นำโชคลาภ ป้องกันภยันตรายแก่ผู้ปลูกนิยมปลูกไว้ในกระถางลายครามที่เขียนรูปโป๊ยเซียน เอาไว้โดยรอบ คนไทยเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่าโป๊ยเซียนเช่นเดียวกับคนจีน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Crown of Thorns หรือมงกุฎหนาม

ประโยชน์ของโป๊ยเซียน
ประโยชน์หลักของโป๊ยเซียนที่สำคัญและเด่นชัด คือ ให้ความสวยงามในฐานะไม้ดอกไม้ประดับประเภทปลูกในกระถาง แต่โป๊ยเซียนมีประโยชน์ทางอ้อมในด้านจิตใจ ด้วยคือ เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สิริมงคล ป้องกันภยันตรายประจำบ้าน และมีคุณสมบัติเป็นต้นไม้เสี่ยงทายโดย พ.ต.ท.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนถึงการเป็นต้นไม้เสี่ยงทายของโป๊ยเซียนไว้ว่า "ต้นโป๊ยเซียนนี้ ตามธรรมดาจะออกดอกตั้งแต่ ๑ ดอก ถึง ๔ ดอกเท่านั้น หากผู้ใดจะมีโชคมีลาภ ต้นโป๊ยเซียนนี้จะออกดอกช่อหนึ่งตั้งแต่ ๘ ดอก ๑๖ ดอก ถึง ๓๒ ดอกเป็นต้น ยิ่งออกดอกมาก ยิ่งมีลาภมาก เฉพาะประเทศจีนต้นโป๊ยเซียนนี้จะปลูกกันเฉพาะ พระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ เพื่อไว้เสี่ยงทายวาสนาของตน" โป๊ยเซียน ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนมีความงดงามกว่าในอดีตมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของต้น ขนาดของดอก สีของดอก และจำนวนช่อของดอก นอกจากนั้นโป๊ยเซียนยังเป็นไม้ดอกที่ขยายพันธุ์ง่าย แข็ง แรงทนทาน ให้ดอกตลอดปีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น

ขั้นตอนการดูแลผม ให้ยาวเร็วขึ้น

สระผมและนวดผมให้เรียบร้อย ใช้ผ้าขนหนูค่อยๆซับผม อย่าขยี้ผมเด็ดขาด โดยเฉลี่ยแล้วผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน ดังนั้นถ้าคุณอยากให้ผมยาวเร็วขึ้น แสกผมไว้ซัก 5- 6 แถว บีบวิตามิน อี แบบแคปซูลสำหรับทาหน้าตามรอยแสก นวดบำรุงให้ทั่วหนังศรีษะ ผมจะยาวเร็วขึ้น

อย่าลืม!! ที่จะทำทรีทเม้นท์สัปดาห์ละครั้ง เพราะมันจะทำให้คุณมีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ตัวอย่างการทำทรีทเม้นท์หมักผมแบบธรรมชาติ

บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศรีษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วสระล้างออก อีกสูตรหนึ่งคือ คั้นดอกอันชัญสดกับน้ำสะอาด จนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วง หมักผมทิ้งไว้ 20 นาท ีอีกเช่นกัน แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมคุณดูดกดำเงางาม

เคล็ดลับดีๆ ถ้าคุณมีผมแห้ง ต้องการให้ผมดูเงางาม ใช้แฮร์โค้ต 2-3 หยดชโลมและนวดให้ทั่วศรีษะ แต่ถ้าคุณมีผมมัน ไม่แนะนำค่ะ เพราะแฮร์โค้ตจะทำให้ผมคุณดูมันเยิ้มยิ่งขึ้น แถมยังเป็นแม่เหล็กดูดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกชั้นดีเชียวล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นมเปรี้ยวกับประโยชน์ของจุลินทรีย์

นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักจุลินทรีย์ในนมจนเกิดรสเปรี้ยว อาจเติมสารปรุงแต่ง สี กลิ่น รส หรือ สารอย่างอื่นที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิต บางคนเข้าใจผิดว่านมเปรี้ยวกับนมบูดเหมือนกัน เพราะเห็นว่ามีรสเปรี้ยวเช่นเดียวกัน นมบูด เกิดจากเชื้อโรคที่กินไม่ได้ไปทำปฏิกิริยากับนม เมื่อกินนมบูดเข้าไป จะมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน เพราะอาหารเป็นพิษ จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวเป็นจุลินทรีย์ที่พบตามปกติในทางเดินอาหาร ไม่สร้างสารพิษ และไม่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ จุลินทรีย์ในกลุ่มแลคโตบาซิลลัส เป็นจุลินทรีย์ในกลุ่มที่เรียกว่า โปรไบโอติคส์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่โดยการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายของผู้บริโภค

ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว
1.รักษาอาการท้องเสีย ในลำไส้ของมนุษย์ประกอบด้วยจุลินทรีย์นานาชนิด บ้างก็เป็นประโยชน์ บางชนิดก็ให้โทษ สำหรับคนสุขภาพดี แข็งแรง จุลินทรีย์ทั้งหมดในร่างกายจะอยู่ในสภาพสมดุล นี่คือ ระบบนิเวศน์ของลำไส้ แต่วันใดก็ตามที่ระบบนิเวศน์ในร่างกายเสียสมดุล จุลินทรีย์ที่ดีมีจำนวนลดลง จุลินทรีย์ที่ให้โทษขยายจำนวนมากขึ้น จนมีจำนวนมากกว่าจุลินทรีย์ที่ดีก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสียขึ้นมาได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ การดื่มนมเปรี้ยวที่เกิดจากกรรมวิธีการหมักจะเป็นนมเปรี้ยวที่มีทั้งกรดแลคติก และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำนมทุกครั้งที่เราทานนมเปรี้ยว เราไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่เรายังได้รับจุลินทรีย์ที่ยังมีชิวิตจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายด้วย จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง และทำให้อาการท้องเสียนี้หายไปได้ และยังสามารถรักษาโรคท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีชิวิตนี้ คือ ตัวการสำคัญที่ทำให้นมเปรี้ยวมีคุณค่าต่อร่างกายต่างจากนมเปรี้ยวเทียมที่เติมกรดให้มีเพียงแต่รสเปรี้ยวเท่านั้น

2.ยกระดับภูมิคุ้มกันโรค จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวไม่เพียงป้องกันและรักษาโรคได้ด้วยฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเชื้อแลคโตบาซิลัสจะช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ นอกจากนี้เชื้อแลคโตบาซิลัสยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเชื้อแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง จับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ ยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) ช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็ง)

3.ควบคุมจุลินทรีย์ในลำไส้และยับยั้งเชื้อโรคของอาหารเป็นพิษ ในนมเปรี้ยวมีการสะสมของสารเมตาบอไลท์ที่จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติกขับออกมา สารเหล่านี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการในลำไส้ได้หลายชนิด เช่น Salmonella และ E. coli ทำให้พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ดังนั้น เราควรจะรับประทานนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

4.ช่วยให้ย่อยง่าย จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว จะสร้างเอ็นไซม์ที่สามารถย่อยอาหารได้มากกว่าปกติ เช่น เอ็นไซม์ย่อยโปรตีน (Protease) จะช่วยให้การย่อยเคซีนซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในนม ช่วยให้มีการหลั่งน้ำลายและเอ็นไซม์ในกระเพาะอาหารและตับอ่อนมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น จุลินทรีย์เหล่านี้ยังสร้างเอ็นไซม์ย่อยน้ำตาลแลคโตส (B-galactosidase) ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ซึ่งคนเราทั่วๆ ไปจะขาดเอ็นไซม์นี้ หลังจากหย่านม ทำให้บางคนเมื่อทานนมแล้วจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากน้ำตาลแลคโตสไม่ถูกย่อย แต่จุลินทรีย์ที่เติมลงในนมเปรี้ยวนี้จะไปช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้ผู้บริโภคไม่เกิดอาการท้องเสีย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติกนี้ยังช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

5.เป็นแหล่งวิตามิน บี 1 และวิตามิน เค แบคทีเรียในนมเปรี้ยวยังสามารถสังเคราะห์วิตามิน บี 1 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามิน เค ในลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา และช่วยในการแข็งตัวของเลือด

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กรุ๊ปเลือด กับการดูแลตัวเอง


ในปัจจุบันเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพดูจะเป็นเรื่องที่ทุกคนกำลังให้ความ สนใจอย่างมาก การออกกำลังกาย การกินตามกรุ๊ปเลือดดูจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม มีข้อมูลจากศูนย์สุขภาพมาแนะนำกัน

คนที่มีกรุ๊ปเลือด A
จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหมขณะเดียวกันไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อ สัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะ ติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบ คู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควร กินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB
เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำ ให้เกิดความเครียด

คนที่มีเลือดกรุ๊ป O
ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

เหล่านี้เป็นเพียงแค่แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ อยู่ที่ตัวคุณเองแล้ว !!

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

5 อาหารต้านมะเร็ง



ลดความเสี่ยงกับมะเร็งด้วยการกินอาหารดีๆมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


บร็อคโคลี่ : อุดมไปด้วยสารที่มีชื่อว่า อินโดล-3คาร์บินอลเป็นสารเคมีในบร็อคโคลี่ที่ต่อสู้กับมะเร็งเต้านมได้โดยป้องกันการเติบโตของได้หลายรูปแบบ และยังมีซัลโฟราฟานเป็นสารเคมีที่เสริมการทำงานของเอนไซม์ที่สามารถยับยั้งสารที่ทำเกิดมะเร็ง

กระเทียม : มีสารที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคทำงานต้านมะเร็งได้ดีขึ้น"ไดอัลลี่ซัลไฟด์"ที่เป็นสารประกอบในน้ำมันกระเทียมจะถูกส่งเข้าไปในตับเพื่อยังยั้งสารก่อมะเร็งอีกด้วย

องุ่นแดง : ในองุ่นแดงมีสารที่เรียกว่า"ไบโอฟลาโวนอยด์"ซึ่งเป็นสารที่มีพลังเพิ่มพูนให้กับแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งทำงานต้านมะเร็งได้ดีมาก และสาร"เรสเวอราโทรล"ก็ช่วยยับยั้งเอนไวม์ที่สามารถเจริญเติบโตเป็นเซลล์มะเร็งและระงับการตอบรับของภูมิคุ้มกันและระงับการตอบรับของภูมิคุ้มกันภายใน

เห็ด : ในเห็ดทุกชนิดที่มีให้เลือกมากมาย อย่างเห็ดชิตาเกะ เห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดฟาง ปรากฎว่ามสารที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้มะเร็ง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ในเห็ดจะอุดมไปด้วยสาร"เล็คติน"มีโปรตีนที่ช่วยพิฆาตการเติบโตของเซลล์มะเร็งและป้องกันเซลล์ไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งด้วย

มะเขือเทศ : อุดมไปด้วยสาร"ไลโคปิน" และมีแอนตี้ออซิแดนท์ที่ต่อสู้กับศัตรูตัวร้ายอย่างสารก่อมะเร็งแต่หลักการเพิ่มเติมอีกนิดว่ามะเขือเทศจะผลิตสาร"ไลโคปิน"ได้มากกว่าถ้าอยู่ในอากาศที่อบอุ่น






















































































วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

7 ขั้นตอนผ่อนคลายความเครียด

เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีความเครียดและรู้สึกถูกรบกวนจนต้องทำให้ไม่มีความสุข ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ความเครียดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพทางกายและใจของเราซึ่ง กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำ 7 ขั้นตอนผ่อนคลายความเครียดดังนี้

1.หยุดพักการทำงานหรือกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นั้นชั่วคราว ลุกเดินไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ยืน ยืดเส้นยืดสาย สะบัดแข้งสะบัดขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

2.ทำงานอดิเรกที่สนใจ จะทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน สนุก มีความสุข ลืมความเครียดที่มีอยู่ไปขณะหนึ่ง เต้นรำ ฟังเพลง เป็นต้น

3.เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ฯลฯ โดยเลือกกีฬาที่ชอบหรือถนัด

4.พบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ไว้วางใจ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนที่อารมณ์ดี สร้างอารมณ์ขันให้ตน
เอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินและอารมณ์ดี

5.พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียดมักจะมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับแล้วตื่นกลางดึก ฝันร้าย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การที่จะทำให้นอนหลับใน
ตอนกลางคืนได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และอย่ากังวลว่าจะนอนไม่หลับ เข้านอนเป็นเวลา และหากยังไม่ง่วงก็ให้หากิจกรรมบางอย่างทำไปก่อน เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังวิทยุ เป็นต้น

6.ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวให้เหมาะสม เช่น เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำความสะอาดบ้านและที่ทำงานให้ดูดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมดูสะอาดเรียบร้อยและสวยงามน่าอยู่แล้ว ย่อมทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยลดความเครียดลงได้

7.เปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราว ในบางครั้งเราอาจเคร่งเครียดกับงานหรือกิจกรรมบางอย่างมากๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ซ้ำซาก จำเจเกินไปทำให้ไม่มีความสุข ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศชั่วคราวด้วยการชักชวนคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงออกไปเที่ยวชมธรรมชาติ หลีกหนีความจำเจไปชั่วคราว หยุดงานชั่วขณะ พักผ่อน เดินทางไปสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินระยะหนึ่ง จะทำให้ความตึงเครียดลดลง และพร้อมที่จะลุยงานต่อไปได้ใหม่

เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าความเครียดกำลังคุกคาม อย่านิ่งนอนใจเชียว เพราะนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแล้ว เดี๋ยวจะทำให้คนรอบข้างพลอยเครียดตามไปด้วย

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กำเนิดอักษรเบรลล์ (Braille)



อักษรเบรลล์ ถือว่าเป็นอักษรที่สำคัญมากในการสื่อสารระหว่างกันของผู้พิการทางสายตา แต่เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่า อักษรเบรลล์นั้น มีที่มาอย่างไร ??

ต้นกำเนิดอักษรเบรลล์เริ่มมาจาก เมื่อปี ค.ศ. 1812 เด็กชาย หลุยส์ เบรลล์ อายุ 3 ขวบได้ประสบอุบัติเหตุ จนเป็นเหตุให้เขาพิการทางสายตา แต่เขาก็ยังใฝ่รู้เอามาก ๆ เขาเรียนรู้ในตัวอักษรต่าง ๆ ด้วยการนำกิ่งไม้มาต่อกันเป็นตัวอักษร จนเมื่อเขาเข้าสู่วัยรุ่น เขาได้ข่าวว่ามีนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งได้คิดค้นการปรุและขีดเป็นรอยอักษรบนกระดาษแข็ง เพื่อใช้สื่อสารกับทหารในกองทัพในยามค่ำคืน เรียกกันว่า "การเขียนในยามมืดมิด" (night writing)

ข่าวดังกล่าวจุดประกายความคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเบรลล์เป็นอย่างมาก เขาจึงเริ่มคิดประดิษฐ์อักษรปรุสำหรับให้คนตาบอดสัมผัสได้สำเร็จ และง่ายต่อการแยกแยะตัวอักษรแต่ละตัว เหตุนี้เอง อักษรดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกตามผู้คิดค้นว่า "อักษรเบรลล์ (Braille) " และหลังจากนั้นไม่นาน อักษรเบรลล์ก็กลายเป็นที่รู้จักทั่วในผรั่งเศส และขณะนี้ก็ขยายไปทั่วโลกแล้ว.

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

เพื่อน ๆ ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ วันนี้จึงชวนมาถนอมดวงตากัน

1. เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2. ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3. คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกลๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4. หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุด