วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ผื่นบอกโรค

เวลาที่เป็นไข้อย่างเดียว เรามักจะไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ อาจจะแค่ดื่มน้ำ พักผ่อนให้มากขึ้น หรือรับประทานยาแก้ไขแล้วก็แล้วกัน แต่เมื่อไหร่ที่เป็นไข้ออกผื่นนีสิ ชักจะสร้างความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะอาการไข้ร่วมกับผื่นบ่งบอกได้ถึงหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส แต่บางทีอาจเป็นแค่ส่าไข้เท่านั้น

ถ้าเช่นนั้นเราลองมาดูกันหน่อยดีไหมครับ ว่าไข้หรือผื่นของแต่ละโรคมีข้อสังเกตอย่างไร จะได้พอเป็นแนวทางว่าโรคใดควรปฏิบัติตัวอย่างไร หรือโรคใดบ้างที่ควรรีบไปพบแพทย์

หากผื่นมีลักษณะเป็นตุ่มนูนใสกระจายทั่วตัว มีอาการคัน และขึ้นพร้อม ๆ กับวันที่เริ่มมีไข้ หรือหลังจากมีไข้หนึ่งวันและขึ้นไม่พร้อมกันทั้งตัว บริเวณที่ขึ้นใหม่เห็นเป็นผื่นแดงราบหรือตุ่มใส ขณะที่บางที่ซึ่งเป็นก่อนเริ่มกลัดหนองหรือตกสะเก็ดให้นึกถึง โรคอีสุกอีใส เห็นไหมครับ ชื่อโรคออกจะตรงตัว คือมีทั้งตุ่มสุกและตุ่มใสอยู่ที่ตัวคนป่วยในเวลาเดียวกัน

โดยทั่วไปเมื่อเป็นโรคอีสุกอีใส ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์นะครับ เพียงรับประทานยาลดไข้ ทาคาลาไมน์โลชั่นบริเวณที่เป็นผื่น และพยายามอย่าเกา เพราะจะทำให้ตุ่มติดเชื้อแบคทีเรียกลายเป็นหนอง พักผ่อนให้มาก ๆ และถ้ามีไข้สูงห้ามอาบน้ำเย็น แค่นี้ก็พอแล้วครับ เพราะโรคนี้หายได้เอง ยกเว้นถ้าเป็นรุนแรง มีอาการหอบ ชัก หรือซึมไม่รู้ตัว ให้รีบส่งโรงพยาบาลด่วน

ที่สำคัญโรคนี้เป็นโรคติดต่อครับ แค่ไอจาม หายใจรดกัน หรือสัมผัสกับตุ่มแผลก็มีโอกาสที่จะติดโรคได้ โดยเฉพาะในระยะหนึ่งวันก่อนผื่นขึ้น ไปจนถึง 6 วันหลังตุ่มใสขึ้น ฉะนั้นควรแยกผู้ป่วยและของใช้จำพวกผ้าของผู้ป่วยจากคนที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้ครับ ยกเว้นแต่ว่าอยากเป็น เพื่อให้มีภูมิต้านทานหรือต้องการประหยัดค่าวัคซีน

แต่โรคนี้ดีอยู่อย่างคับ คือเมื่อหายแล้วจะมีภูมิต้านทานไปตลอดชีวิต หรือถ้าเป็นสมัยนี้สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไว้ได้ตั้งแต่อายุ 4-6 ขวบ

มีผื่นอีกโรคที่ต้องระวัง คือผื่นจาก โรคไข้เลือดออก ซึ่งจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัดแต่ก็พอจะแยกกันได้ครับ โดยสังเกตว่าถ้าเป็นไขเลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ก็ควรดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานยาลดไข้ และรีบไปพบแพทย์ครับ

แต่ถ้าเป็น โรคหัด นอกจากจะมีน้ำมูกและไอแล้ว จะมีอาการหน้าแดง ตาแดง ไม่สู้แสง และผื่นสีน้ำตาลแดงนูนเล็กน้อย จะเริ่มขึ้นจากหลังหูแล้วลามไปทั่วตัวหลังมีไข้แล้ว 3-4 วัน จุดเด่นที่สังเกตได้อีกอย่างคือ หากมีจุดสีขาว ๆ เหลือง ๆ เล็กขนาดเม็ดงาที่กระพุ้งแก้มใกล้ฟันกรามล่าง (หรือถ้าเป็นมากก็จะมีอยู่เต็มกระพุ้งแก้ม) แสดงว่าเป็นโรคหัดอย่างแน่นอนครับ

หากเป็นหัดให้ดูแลเหมือนคนเป็นไข้หวัดคือ พักผ่อน รับประทานยาลดไข้ และเช็ดตัวเวลามีไข้สูง และยืนยันว่าไม่มีของแสลงครับ และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ เพราะเป็นโรคจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย

เพื่อนสนิทอีกโรคของหัดคือ โรคหัดเยอรมัน ผื่นจากโรคนี้จะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีชมพู แต่อาการอื่น ๆ จะไม่รุนแรงเหมือนโรคหัด และจุดสังเกตที่สำคัญคือ คลำพบก้อนที่หลังหูและท้ายทอย เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองโต

โรคนี้เป็นโรคติดเชื้อที่ไม่รุนแรง เพียงรับประทานยาลดไข้ พักผ่อนอยู่กับบ้านสัก 4 วันหลังจากมีผื่นเพื่อไม่ให้ไปติดต่อคนอื่น และควรไปพบแพทย์ก็ต่อเมื่อปวดข้อรุนแรง มีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หรือหากเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรกควรพบแพทย์ทันที แต่ทางที่ดีหญิงสาวควรฉีดวัคซีนหัดเยอรมันอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ครับส่วนเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้เขามีวัคซีนรวมกับวัคซีนโรคหัด ซึ่งแนะนำให้ฉีดตั้งแต่เด็กอายุ 9 เดือนครับ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

กลิ่นหอมทำให้ฝันดี

ผลการศึกษาพบว่า กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ช่วยให้นอนหลับฝันดี โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย มานน์ไฮม์ ในเยอรมนี ทดลองให้อาสาสมัคร ซึ่งเป็นผู้หญิง 15 คน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบโชยเข้ามาแตะจมูกระหว่างนอน เมื่อตื่นขึ้นมา ผู้หญิงเหล่านี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเธอนอนหลับฝันดี

แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงทั้ง 15 คนนี้ จะนอนฝันร้าย ถ้าได้กลิ่นไข่เน่าโชยมาระหว่างนอนหลับ นักวิทยาศาสตร์ทดลองเรื่องนี้ โดยให้อาสาสมัครทั้งหมดนอนหลับ และรอจนกระทั่งการนอนของพวกเธอเข้าสู่ระดับที่เรียกว่า "Rapid Eye Movements" หรือ REM ซึ่งความฝันมักจะเกิดขึ้นในการนอนที่ระดับนี้ เมื่อการนอนเข้าสู่ระดับ REM นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำให้อากาศภายในห้องมีกลิ่นบางอย่างนาน 10 วินาที แล้วจึงปลุกอาสาสมัครซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมดให้ตื่นขึ้นในอีก 1 นาทีหลังจากนั้น

เมื่ออาสาสมัครตื่นขึ้น พวกเธอจะถูกซักถามเกี่ยวกับความฝันและความรู้สึกในช่วงที่ฝัน พวกเธอยืนยันว่าไม่ได้ฝันว่า กำลังดมอะไรอยู่ แต่เนื้อหาในความฝันจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นที่โชยเข้ามาแตะจมูกในเวลานั้น ถ้าเป็นกลิ่นหอม พวกเธอก็จะฝันดี แต่ถ้าเป็นกลิ่นเหม็น พวกเธอก็จะฝันร้าย ผลการศึกษาจึงสรุปได้ว่า กลิ่นน่าจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความฝันของคนเราได้

ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ ระบุว่า นอกจากกลิ่นแล้ว เสียงความดัง หรือการสั่นสะเทือน ก็เป็นตัวกำหนดเนื้อหาความฝันได้เช่นกัน

มีวิธีการกินอย่างไร..ให้สุขภาพดี ?


อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน การเกิดโรคบางชนิดมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูป รส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารสำเร็จรูป เบเกอร์รี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุค เพราะคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา

โดยมีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้

1.กินอาหารเช้าเป็นประจำ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อ ที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิต หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร และกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต คุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

5.กินปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น

6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย เพราะมีสารทริปโตแฟนทีช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย แต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียม เป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอล หรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหน หลักง่ายๆคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ