วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

5 อาหารต้านมะเร็ง



ลดความเสี่ยงกับมะเร็งด้วยการกินอาหารดีๆมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


บร็อคโคลี่ : อุดมไปด้วยสารที่มีชื่อว่า อินโดล-3คาร์บินอลเป็นสารเคมีในบร็อคโคลี่ที่ต่อสู้กับมะเร็งเต้านมได้โดยป้องกันการเติบโตของได้หลายรูปแบบ และยังมีซัลโฟราฟานเป็นสารเคมีที่เสริมการทำงานของเอนไซม์ที่สามารถยับยั้งสารที่ทำเกิดมะเร็ง

กระเทียม : มีสารที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคทำงานต้านมะเร็งได้ดีขึ้น"ไดอัลลี่ซัลไฟด์"ที่เป็นสารประกอบในน้ำมันกระเทียมจะถูกส่งเข้าไปในตับเพื่อยังยั้งสารก่อมะเร็งอีกด้วย

องุ่นแดง : ในองุ่นแดงมีสารที่เรียกว่า"ไบโอฟลาโวนอยด์"ซึ่งเป็นสารที่มีพลังเพิ่มพูนให้กับแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งทำงานต้านมะเร็งได้ดีมาก และสาร"เรสเวอราโทรล"ก็ช่วยยับยั้งเอนไวม์ที่สามารถเจริญเติบโตเป็นเซลล์มะเร็งและระงับการตอบรับของภูมิคุ้มกันและระงับการตอบรับของภูมิคุ้มกันภายใน

เห็ด : ในเห็ดทุกชนิดที่มีให้เลือกมากมาย อย่างเห็ดชิตาเกะ เห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดฟาง ปรากฎว่ามสารที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้มะเร็ง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ในเห็ดจะอุดมไปด้วยสาร"เล็คติน"มีโปรตีนที่ช่วยพิฆาตการเติบโตของเซลล์มะเร็งและป้องกันเซลล์ไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งด้วย

มะเขือเทศ : อุดมไปด้วยสาร"ไลโคปิน" และมีแอนตี้ออซิแดนท์ที่ต่อสู้กับศัตรูตัวร้ายอย่างสารก่อมะเร็งแต่หลักการเพิ่มเติมอีกนิดว่ามะเขือเทศจะผลิตสาร"ไลโคปิน"ได้มากกว่าถ้าอยู่ในอากาศที่อบอุ่น






















































































วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

7 ขั้นตอนผ่อนคลายความเครียด

เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีความเครียดและรู้สึกถูกรบกวนจนต้องทำให้ไม่มีความสุข ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ความเครียดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพทางกายและใจของเราซึ่ง กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำ 7 ขั้นตอนผ่อนคลายความเครียดดังนี้

1.หยุดพักการทำงานหรือกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นั้นชั่วคราว ลุกเดินไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ยืน ยืดเส้นยืดสาย สะบัดแข้งสะบัดขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

2.ทำงานอดิเรกที่สนใจ จะทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน สนุก มีความสุข ลืมความเครียดที่มีอยู่ไปขณะหนึ่ง เต้นรำ ฟังเพลง เป็นต้น

3.เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ฯลฯ โดยเลือกกีฬาที่ชอบหรือถนัด

4.พบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ไว้วางใจ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนที่อารมณ์ดี สร้างอารมณ์ขันให้ตน
เอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินและอารมณ์ดี

5.พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียดมักจะมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับแล้วตื่นกลางดึก ฝันร้าย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การที่จะทำให้นอนหลับใน
ตอนกลางคืนได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และอย่ากังวลว่าจะนอนไม่หลับ เข้านอนเป็นเวลา และหากยังไม่ง่วงก็ให้หากิจกรรมบางอย่างทำไปก่อน เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังวิทยุ เป็นต้น

6.ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวให้เหมาะสม เช่น เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำความสะอาดบ้านและที่ทำงานให้ดูดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมดูสะอาดเรียบร้อยและสวยงามน่าอยู่แล้ว ย่อมทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยลดความเครียดลงได้

7.เปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราว ในบางครั้งเราอาจเคร่งเครียดกับงานหรือกิจกรรมบางอย่างมากๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ซ้ำซาก จำเจเกินไปทำให้ไม่มีความสุข ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศชั่วคราวด้วยการชักชวนคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงออกไปเที่ยวชมธรรมชาติ หลีกหนีความจำเจไปชั่วคราว หยุดงานชั่วขณะ พักผ่อน เดินทางไปสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินระยะหนึ่ง จะทำให้ความตึงเครียดลดลง และพร้อมที่จะลุยงานต่อไปได้ใหม่

เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าความเครียดกำลังคุกคาม อย่านิ่งนอนใจเชียว เพราะนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแล้ว เดี๋ยวจะทำให้คนรอบข้างพลอยเครียดตามไปด้วย

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กำเนิดอักษรเบรลล์ (Braille)



อักษรเบรลล์ ถือว่าเป็นอักษรที่สำคัญมากในการสื่อสารระหว่างกันของผู้พิการทางสายตา แต่เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่า อักษรเบรลล์นั้น มีที่มาอย่างไร ??

ต้นกำเนิดอักษรเบรลล์เริ่มมาจาก เมื่อปี ค.ศ. 1812 เด็กชาย หลุยส์ เบรลล์ อายุ 3 ขวบได้ประสบอุบัติเหตุ จนเป็นเหตุให้เขาพิการทางสายตา แต่เขาก็ยังใฝ่รู้เอามาก ๆ เขาเรียนรู้ในตัวอักษรต่าง ๆ ด้วยการนำกิ่งไม้มาต่อกันเป็นตัวอักษร จนเมื่อเขาเข้าสู่วัยรุ่น เขาได้ข่าวว่ามีนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งได้คิดค้นการปรุและขีดเป็นรอยอักษรบนกระดาษแข็ง เพื่อใช้สื่อสารกับทหารในกองทัพในยามค่ำคืน เรียกกันว่า "การเขียนในยามมืดมิด" (night writing)

ข่าวดังกล่าวจุดประกายความคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเบรลล์เป็นอย่างมาก เขาจึงเริ่มคิดประดิษฐ์อักษรปรุสำหรับให้คนตาบอดสัมผัสได้สำเร็จ และง่ายต่อการแยกแยะตัวอักษรแต่ละตัว เหตุนี้เอง อักษรดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกตามผู้คิดค้นว่า "อักษรเบรลล์ (Braille) " และหลังจากนั้นไม่นาน อักษรเบรลล์ก็กลายเป็นที่รู้จักทั่วในผรั่งเศส และขณะนี้ก็ขยายไปทั่วโลกแล้ว.

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

เพื่อน ๆ ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ วันนี้จึงชวนมาถนอมดวงตากัน

1. เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2. ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3. คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกลๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4. หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไม น้ำตาล ไม่เน่าเสียเหมือนอาหารอื่น





อันที่จริงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถย่อยน้ำตาลได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมน้ำตาลกลับไม่เน่าเสียง่ายเหมือนกับแป้งหรืออาหารประจำครัวอื่นๆ ทั้งนี้เพราะว่าน้ำตาลมีค่าความชื้นเป็นองค์ประกอบอยู่น้อยเหลือเกิน คือประมาณ 0.02 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งทำให้จุลินทรีย์อันเป็นตัวก่อเชื้อราตกอยู่ในสภาวะขาดน้ำ (dehydration) คำอธิบายมีว่า โมเลกุลของน้ำจะแพ่รกระจายออกจากจุลินทรีย์ในอัตราความเร็วสูงกว่าที่มันจะซึมเข้า ดังนั้นในที่สุดจุลินทรีย์ก็จะตายลงเพราะขาดน้ำในร่างกาย นอกจากนี้ค่าความชื้นที่ต่ำมากของน้ำตาลยังเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงทางเคมีใดๆ อันก่อให้เกิดการเน่าเสียอย่างไรก็ตามถ้าละลายน้ำตาลในน้ำ ยิ่งสารละลายน้ำตาลเจือจางมากเท่าใด โอกาสที่ราและยีสต์จะเกิดขึ้นยิ่งมีมากเท่านั้น การปล่อยให้น้ำตาลถูกอากาศที่มีความชื้นสูงเพียงสองสามวัน ก็ทำให้น้ำตาลดูดรับความชื้นได้มากพอต่อการเจริญเติบโตของราด้วยเหตุนี้การเก็บน้ำตาลไว้ในภาชนะที่กันอากาศเข้าจะช่วยชะลอการดูดความชื้นแม้ในสภาวะอากาศชื้นยิ่งถ้าเก็บรักษาน้ำตาลไว้ในบรรยากาศที่อุณหภูมิและความชื้นคงที่ ซึ่งช่วยให้น้ำตาลสามารถรักษาระดับค่าความชื้นที่ 0.02 เปอร์เซนต์ไว้ได้ น้ำตาลจะคงสภาพดีไม่มีวันหมดอายุ


























วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ที่มาของ "แฮมเบอร์เกอร์" อาหารยอดนิยม



ยังไม่มีการบันทึกที่ชัดเจนว่าประเทศหรือชนชาติใดเป็นต้นตำรับของแฮมเบอร์เกอร์ แต่คำที่ใช้เรียกขนมปัง 2 ชิ้นที่มีเนื้ออยู่ตรงกลางว่าแฮมเบอร์เกอร์นั้น เริ่มต้นขึ้นที่เมืองฮัมบูร์ก(Hamburg) ประเทศเยอรมนี ขณะที่เมนูกินด่วนแบบนี้ยังไปฮิตติดอันดับที่สหรัฐ แทน ส่วนคนในฮัมบูรก์เองนั้น กลับนิยมทานแซนด์วิชมากกว่า

อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ที่แนะนำให้ชาวฮัมบูร์กรู้จักกับการปรุงอาหารชนิดนี้ โดยมีผู้กล่าวถึงที่มาเอาไว้ 2 ทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีแรกมีการกล่าวเอาไว้ว่า ในช่วงยุคกลาง เมืองฮัมบูร์กเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญระหว่างโลกอาหรับและยุโรป ทำให้พ่อค้าอาหรับเข้ามาติดต่อกับชาวบ้าน และได้แนะนำอาหารที่ชื่อกะบาบ ซึ่งเป็นเนื้อลูกแกะบดผสมเครื่องเทศ ที่มักจะกินกันดิบๆ ให้กับชาวบ้าน หลังจากนั้นชาวเมืองฮัมบูร์กได้ดัดแปลงเปลี่ยนจากเนื้อลูกแกะไปเป็นเนื้อหมูหรือว่าเนื้อวัวแทน พร้อมกับปรุงรสขึ้นใหม่ จนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และสุดท้ายก็พัฒนากลายมาเป็น “แฮมเบอร์เกอร์” ในเวลาต่อมา

ส่วนอีกทฤษฎีนั้นกล่าวไว้ว่า ในช่วงที่กองทัพมองโกลของเจงกีสข่านยกทัพบุกรัสเซียนั้น เหล่าทหารจะกินเนื้อลูกแกะดิบที่ปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งเหล่าทหารมีวิธีการทำให้เนื้อนิ่มด้วยการวางไว้ใต้อานม้า จากนั้นชาวรัสเซียก็รับเอาอาหารชนิดนี้ไป และเรียกว่า “ทาร์ทาร์สเต็ก” เนื่องจากชาวรัสเซียเรียกชาวมองโกลว่า “ทาร์ทาร์” และในช่วงศตวรรษที่ 17 รัสเซียเริ่มที่จะค้าขายติดต่อกับเมืองฮัมบูร์กและก็ได้นำอาหารชนิดนี้ไปเผยแพร่ด้วย โดยชาวเยอรมันได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อวัวไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศในท้องถิ่นจนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และอาจจะนำไปรมควันหรือว่าหมักเกลือ เพื่อที่จะสามารถเก็บได้นานระหว่างที่กำลังเดินทาง
จากนั้น ทหารเรือชาวเยอรมันและผู้อพยพก็ได้นำเมนูนี้ติดตัวไปยังสหรัฐฯด้วยในช่วง 1800s และในช่วงทศวรรษที่ 1820 หรือ 1830 นี่เองที่มีการนำชื่อ “แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก” ไปปรากฏอยู่บนรายการอาหารของร้านอาหารที่ชื่อเดลโมนิโก ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงต้นยุค 1900s ร้านอาหารในสหรัฐฯมากมายหลายร้านได้เริ่มนำแฮมเบอร์เกอร์สเต็กมาใส่ระหว่างขนมปัง 2 ชิ้น หรือว่าใส่ข้างในขนมปัง และเมื่อแฮมเบอร์เกอร์สเต็กถูกนำมาใส่ไว้ข้างในขนมปัง จึงถูกเรียกว่า “แฮมเบอร์เกอร์แซนด์วิช” และผู้ที่คิดค้นขนมปังก้อนสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาก็คือพ่อครัวที่ชื่อ เจ วอลเตอร์ แอนเดอร์สัน ในปี 1916 ก่อนที่เขาค้นนี้จะไปเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ไวท์คาสเซิลในปี 1921

สำหรับชีสแฮมเบอร์เกอร์ หรือที่เรียกสั้นๆว่าชีสเบอร์เกอร์นั้น ว่ากันว่าผู้ที่เริ่มคิดค้นลงมือทำเป็นคนแรกก็คือเชฟที่ชื่อ ไลโอเนล สไตน์เบอร์เกอร์ จากร้านอาหารที่ชื่อ ไรท์สปอต ในเมืองพาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของฟาสต์ฟูดส์อย่างแฮมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เรย์ ครอก ซึ่งเริ่มเปิดตัวร้านแมคโดนัลด์สาขาแรกช่วงกลางทศวรรษที่ 1950




วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สัญญาณเตือนจาก "เล็บ"




อย่าคิดว่าเล็บไม่มีความสำคัญ เห็นเป็นแค่ส่วนเกินของนิ้วมือเท่านั้นเล็บมีส่วนประกอบหลักของสารโปรตีนประเภท "เคราติน" (Keratin) ในคนที่มีสุขภาพปกติ เล็บจะมีสีชมพูอ่อนๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็ง เรียบ ลื่น แต่ถ้าเล็บเริ่มมีรูปร่างหรือสีแปลกไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจเกิดความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่าง

1.เล็บมีลักษณะสีขาวเป็นแผ่นตรงกลาง อาจมีความผิดปกติกับตับ หรือมีโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของตับผิดปกติ

2.เล็บมีลักษณะหนากว้าง โค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีม่วงคล้ำลักษณะแบบนี้พบมากในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคตับ และโรคท้องเสีย

3.เล็บมีลักษณะเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา อาจเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า สะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง เพราะลักษณะแบบนี้จะพบในผู้ป่วยโรคผิวหนังถึง 70%

4.เล็บมีลักษณะขาวซีด อ่อน แบนและบุ๋ม ลักษณะแบบนี้พบมากในคนที่ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมักจะเป็นโรคโลหิตจาง

5.เล็บมีลักษณะเป็นสีเหลือง ถ้าพบลักษณะแบบนี้ในเล็บบนนิ้วมือที่ถนัด อาจเป็นเพราะสารนิโคตินที่มาจากบุหรี่เกาะบนเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ ลักษณะนี้จะพบมากในผู้ป่วยโรคปอด

6.เล็บมีลักษณะเป็นจุดหรือเส้นสีม่วงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกจะพบมากในผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ และโรคขาดวิตามินซี

7.เล็บมีลักษณะเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อาจขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลล์สร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์ หรือกำลังมีปัญหาสุขภาพ อาจจะมีโรคภายในที่ทำให้เจ็บป่วยหนักขึ้น

8.เล็บมีลักษณะสีดำ ส่วนมากพบในคนที่ขาดวิตามินบี 12 และในผู้ป่วยโรคลำไส้ผิดปกติ อาจมีจุดดำๆ เกิดขึ้นตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปากและริมฝีปาก

ต่อไปเวลาตัดเล็บ อย่าลืมสังเกตความผิดปกติของสีเล็บด้วยทุกครั้ง ถ้าพบความผิดปกติดังที่กล่าว ปรึกษาแพทย์เป็นดีที่สุด ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เป็นแล้วแก้จะแย่ทีหลัง

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เทศกาลกินเจ


ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจ จึงได้หาข้อมูลเกี่ยว การกินเจเพื่อคุณๆ ทั้งหลาย คำว่า "เจ" หรือ "แจ" ในภาษาจีนมีความหมายในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า อุโบสถ และแปลได้ อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีคาว ซึ่งความหมายที่แท้จริงของคำว่า "กินเจ" คือ การรับประทาน อาหารก่อนเที่ยงวัน หรือที่ชาวพุทธในไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือคือ "การรักษาศีล 8 " โดยหลัง จากเที่ยงวันแล้วจะไม่รับประทาน อาหารอีก แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยม"การไม่กิน เนื้อสัตว์" ไปรวม กับคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วยทุกวันนี้ถึงแม้จะรับประทานอาหาร ทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนที่กินเจ" ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนกินเจยังต้อง ดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกาย วาจา และใจ และเป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกันจึงเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง"


วันเวลาของการกินเจ
ราสามารถแบ่งการกินเจได้ 2 แบบ คือ
1. การกินเป็นกิจวัตร คือ การละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อ เป็นประจำทุกวัน
2. การกินเฉพาะช่วงประเพณีกินเจ คือ การกินเจในช่วงวันขึ้น ๑ ค่ำถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีน ซึ่งวันเวลา ของการกินเจทั้ง 9 วันนั้น จะมีชื่อเรียกดังนี้คือ ชิวอิก ชิวยี่ ชิวซา ชิวสี่ ชิวโหงว ชิวลัก ชิวฉิก ชิวโป๊ย และชิวเก้าด้วย


โดยที่เจอิ๊วหรือผู้ร่วมพิธีกินเจจะมีการทำบุญในระหว่าง 9 วันที่เรียกว่า "เจคี้" หรือ "ซาลักเก้า" ซึ่งประกอบด้วย วันชิวซา ชิวลัก และชิวเก้าด้วย โดยการนำโหงวก้วยหรือซาก้วย ผลไม้ 5 หรือ 3 อย่างมาไหว้ ซึ่งมักนิยมใช้ผลไม้ ที่มีความหมายเป็นมงคล เช่น ส้ม ซึ่งในภาษีจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี องุ่น หรือ พู่ท้อ หมายถึง งอกงาม สับปะรด หรืออั้งไล้ แปลว่า มีโชค และกล้วย ที่หมายถึง การมีลูกหลานสืบสกุล

การกินเจอย่างถูกต้อง
"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วย ผักฉุนทั้ง 5 อันได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ เนื่องจากผักดังกล่าวเหล่านี้เป็นผักที่มี รสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ ซึ่งผู้ที่กินเจถือว่า


กระเทียม ซึ่งรวมไปถึง หัวกระเทียม ต้นกระเทียม จะไปทำลายการทำงานของหัวใจและกระทบกระเทือนต่อธาตุไฟในกาย ถึงแม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่สามารถละลายไขมันใน เส้นเลือด (คลอเลสเตอรอล) ได้ แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอาหารเป็นแผลและโรคตับจึงไม่ควรรับประทานมาก


หัวหอม ซึ่งรวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์ โบราณของจีนถือว่า หัวหอมจะไปทำลายการ ทำงานของไตและกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในกาย ถึงแม้ว่า หอมแดงจะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืดแน่น ปวดประจำเดือน และอาการบวมน้ำได้ แต่การบริโภคเป็น ประจำหรือ มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย ประสาทเสีย มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยตาฝ้ามัว


หลักเกียว คือ กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า ในประเทศไทยไม่พบว่า มีการปลูกแพร่หลาย ซึ่งหลักเกียวจะไปทำลายการ ทำงานของตับและกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในกาย


ใบยาสูบ ซึ่งหมายถึง บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมาโดยใบยาสูบจะไปทำลายการทำงาน ของปอด และ กระทบกระเทือนต่อธาตุโลหะในกาย


ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางศาสนา
ในมุมมองของศาสนาจะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ซึ่งได้แก่


1. บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย ดวง ธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมาซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริม ให้บารมี ธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ

2. ทำให้มีสติมั่นคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตและการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจาก ร่าง ก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

3. หยุดการทำบาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาตพยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายตามจองเวร

4. สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัว มืดมนจะหมดไป หลังจากกินเจต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลานานๆ ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ และถ่ายทอดออกไปสู่ใบ หน้าให้มีความสะอาดสดใส

5. ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิด อยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้ายรบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกัน และกัน

6. ทำให้จิตใจสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่สะอาดทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด

7. เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขาไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย

ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดว่า การมองประโยชน์ของการ กินเจในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ





วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตำนานป็อปคอร์น


ชาวอินเดียนแดง ชนพื้นเมืองอเมริกันเป็นชนกลุ่มแรกที่กินข้าวโพดคั่วเมื่อกว่า 5,600 ปีที่แล้ว โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสไปพบหลักฐานสำคัญเป็นข้าวโพดคั่วในซากเมืองโบราณหลายแห่ง เช่น เมืองอินคาในอเมริกาใต้ โดยพบหม้อดินปั้นพิเศษสำหรับคั่วข้าวโพด สันนิษฐานว่าวิธีทำข้าวโพดคั่วสมัยก่อนคือฝังหม้อในทรายที่ร้อนจัดจากนั้นโรยเมล็ดข้าวโพดลงไปแล้วปิดฝา ความร้อนจากทรายทำให้ข้าวโพดแตกกลายเป็นข้าวโพดคั่ว

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำข้าวโพดคั่วมาร้อยเป็นเครื่องประดับสำหรับหัวหน้าเผ่าหรือนักรบ แม้แต่ในเม็กซิโกปัจจุบันยังมีการนำพวงข้าวโพดคั่วมาประดับเทวรูปด้วย ข้าวโพดคั่วแพร่หลายเข้ามาในยุโรปราวศตวรรษที่ 15 โคลัมบัสนักสำรวจและนักเดินเรือชาวอิตาลี ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา บันทึกไว้ว่าชาวอินเดียนแดงนำช่อดอกไม้และเครื่องประดับศีรษะที่ทำด้วยข้าวโพดคั่วมาขายลูกเรือของตน
ในปลายศตวรรษที่ 19 อเมริกาเป็นประเทศแรกที่มีการจำหน่ายข้าวโพดคั่วเป็นธุรกิจ ข้าวโพดที่จะนำมาทำข้าวโพดคั่วต้องเป็นพันธุ์พิเศษโดยเฉพาะ เรียกว่า Zea mays L. Var. everta เมล็ดมีเปลือกแข็ง แต่เนื้อในเมล็ดนุ่ม เครื่องทำข้าวโพดคั่วเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1885 โดยนายชาลส์ เครเตอส์ ชาวเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ต่อมาปี 1925 มีการผลิตเครื่องคั่วข้าวโพดแบบไฟฟ้าเป็นผลสำเร็จ ลักษณะเป็นเครื่องแก้วและเครื่องไฟฟ้าสีโครเมียม ทำให้ข้าวโพดคั่วได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก
เมื่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเติบโตในช่วงศตวรรษที่ 20มีการเปิดโรงภาพยนตร์หลายแห่ง และมีการนำเครื่องทำข้าวโพดคั่วไปทำข้าวโพดคั่วขายให้แก่ผู้เข้าชมในโรงด้วย โดยเริ่มนำมาขายในปี 1912 เป็นต้นมา ทำให้ข้าวโพดคั่วกลายเป็นสัญลักษณ์ควบคู่กับความบันเทิงในรูปแบบนี้จนกระทั่งปัจจุบัน และเมื่อโทรทัศน์เริ่มแพร่่หลาย การกินข้าวโพดคั่วหน้าจอโทรทัศน์ก็ยังเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันด้วย.

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อังเดร มารี แอมแปร์ : Andre Marie Ampere



เกิด วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1775 ที่เมืองโปลีมีเยอร์ (Polemieux) ประเทศฝรั่งเศส (France)
เสียชีวิต วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1836 ที่เมืองมาร์แชลล์ (Marseilles) ประเทศฝรั่งเศส (France)
ผลงาน - ค้นพบทฤษฎีแม่เหล็กโลก
- ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้า (Motor)
- ค้นพบสมบัติของไฟฟ้าและแม่เหล็ก

นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีแม่เหล็กโลก ประดิษฐ์ มอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งค้นพบสมบัติของไฟฟ้าและแม่เหล็ก และคำว่า "แอมแปร์" ที่ใช้เรียกหน่วยวัดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลบนตัวนำ ก็ตั้งเป็นเกียรติแก่เขา "อังเดร มารี แอมแปร์" (Andre Marie Ampere) เกิดวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2318 ที่โปลีมีเยอร์ ฝรั่งเศส บิดาเป็นพ่อค้าฐานะดี ทำให้แอมแปร์ได้รับการศึกษาที่ดี เขาสนใจวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ มีความชำนาญในวิชา Differential Calculus ตั้งแต่วัยเพียง 12 ขวบ และเมื่ออายุ 18 ก็ได้รับการยกย่องในฐานะนักคณิตศาสตร์ผู้มีความสามารถคนหนึ่งของฝรั่งเศส

ชีวิตพลิกผันเมื่อเกิดการปฏิวัติโค่นล้มระบบกษัตริย์ ชนชั้นสูงถูกสั่งประหารมากมาย รวมทั้งพ่อของแอมแปร์ เขาต้องลาออกจากโรงเรียน ไปเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง จากนั้นไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ชั้นมัธยมที่เมืองลีอองส์ และอีก 2 ปีได้รับเชิญสอนวิชา Analytical Calculus และกลศาสตร์ที่โรงเรียนโปลีเทคนิคแห่งฝรั่งเศส ที่นี่เองที่แอมแปร์เริ่มการทดลองเกี่ยวกับไฟฟ้า พร้อมได้ตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาคณิตศาสตร์และกลศาสตร์ใน พ.ศ.2352 ซึ่งเป็นปีที่เขาเผยแพร่ผลงานทั้งด้านคณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา ผลงานเหล่านั้นทำให้ได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกสถาบันศิลปะและวิทยาศาสตร์ ขณะที่เขาทุ่มเทให้กับการศึกษา ค้นคว้า ทดลองทางวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา
พ.ศ.2365 ฮันส์ คริสเตียน เออร์สเตด ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เผยแพร่การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและแม่เหล็ก หลังจากพบว่าเมื่อวางสายไฟซึ่งมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ลงใกล้กับเข็มทิศ เข็มจะกระดิก การค้นพบนี้นำสู่ทฤษฎีความสัมพันธ์ ระหว่างแม่เหล็กกับไฟฟ้า อิเล็กโทร แมกเนติซัม (Electro Mag netism Theory)

เมื่อแอมแปร์ทราบข่าว เขาทดลองบ้าง โดยครั้งแรกทำตามแบบเออร์สเตด เขาสรุปสาเหตุของปรากฏการณ์เนั้นว่า "เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวดตัวนำ จะทำให้รอบๆ ลวดตัวนำเกิดอำนาจแม่เหล็ก ขึ้น" และสรุปได้ว่าในแม่เหล็กอาจมีไฟฟ้าซ่อนอยู่ จากนั้นทดลองต่อเส้นลวด 2 เส้นเข้ากับแบตเตอรี่ แล้ววางในแนวคู่ขนาน แอม แปร์สรุปได้ว่า "อำนาจที่ได้จากแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้าวงจรปิดแบบเดียวกัน ปรากฏว่าถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้าไปในทิศทางเดียวกัน ลวดทั้ง 2 เส้นจะผลักกัน แต่ถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้าในทิศทางตรงข้ามกันลวดทั้ง 2 เส้นจะดึงดูดกัน ส่วนในแท่งแม่เหล็ก ถ้าหันขั้วเดียว กันเข้าหากันก็จะผลักกัน แต่ถ้าหันคนละขั้วจะดึงดูดกัน"

ต่อมาเขาทดลองเกี่ยวกับการเดินทางของกระแสไฟฟ้าบนลวดตัวนำต่อไป โดยการนำ คอยล์ (Coil) หรือขดลวดมาพันซ้อนกันหลายๆ รอบจนกลายเป็นรูปทรงกระบอก เรียกว่า โซเลนอยด์ (Solenoid) จากนั้นปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป ปรากฏว่าเกิดสนามแม่เหล็กภายในโซเลนอยด์ และการทดลองครั้งนี้ได้นำไปสู่การค้นพบทฤษฎีแม่เหล็กโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาเป็นเวลานานแล้วว่า เหตุใดบริเวณขั้วโลกเหนือและใต้จึงมีอำนาจแม่เหล็กอยู่

แอมแปร์ทดลองเพื่อให้ทุกคนเข้าใจทฤษฎีอันนี้ โดยการสร้างวงขดลวดไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้น แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดทีละน้อย ผลปรากฏว่าเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปจะมีอำนาจเหมือนแท่งแม่เหล็ก นอกจากนี้เขายังพบว่ายิ่งพันขดลวดมากเท่าไร ยิ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้ามากขึ้น จากการทดลองครั้งนี้สรุปได้ว่า การเกิดแม่เหล็กโลกเกิดจากโลกมีประจุไฟฟ้าซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็ก และผลงานชิ้นนี้ได้นำไปสู่การสร้างสนามแม่เหล็กและมอเตอร์ไฟฟ้า

แอมแปร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2379 ที่เมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส