วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ : การชงชา


มารู้จักก่อนว่า ชา มีอยู่ 2 ชนิดคือ ชากลิ่นกับชาคอ ชากลิ่นจะมีกลิ่นหอมมาก รสชาติอ่อนนุ่ม ชุ่มคอ สีของน้ำจาง ๆ ส่วนชาคอนั้น จะมีความหอมน้อยกว่า แต่มีรสชาติเข้มข้นกว่า ชุ่มคอมากกว่า สีของน้ำชาที่ชงออกมาจะเข้มกว่า เมื่อได้ชาดี ๆ มา

วิธีการที่ถูกต้องในการชงชาก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเท่าเทียมกัน เมื่อจะเริ่มชงชาให้ลวกกา และถ้วยชาด้วยน้ำร้อนก่อนแล้วจึงใส่ใบชาป่น 1 ส่วนต่อใบชาที่เป็นใบ ๆ 4 ส่วน (ใบชาป่นมักจะอยู่กับห่อ ก้นกระป๋อง) ใช้น้ำเดือดเทลวกใบชาอย่างเร็ว แล้วรีบเทน้ำออกทิ้งไป แล้วรินน้ำเดือดลงไปอีกครั้ง โดยรักษาระยะห่างของกาน้ำเดือดกับกาน้ำชาไว้มาก ๆ โดยยกกาต้มน้ำเดือดสูง ๆ แรงน้ำร้อน ๆ ที่กระทบกับใบชา จะช่วยให้น้ำชาออกรสชาติเร็ว และมีกลิ่นหอมจัด หากมีฟองเกิดขึ้นให้ปาดฟองทิ้งเสียก่อนที่จะรินชา โดยกดพวยกาน้ำชาให้ใกล้ ๆ ขอบปากถ้วยชา ให้มากเท่าที่จะทำได้ จำง่าย ๆ ว่า "ชงสูง รินต่ำ"
แล้วก็จะได้น้ำชาที่หอมหวานและมีรสชาติสมบูรณ์ ในกรณีที่อาจทำได้ ว่ากันว่า การต้มน้ำเดือดด้วยไฟจากเตาถ่าน จะได้น้ำเดือดที่มีกลิ่นไอของธรรมชาติมากกว่าต้มด้วยเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยชูรสน้ำชาที่ชงได้มากยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพพร้อมรับ "ลมหนาว"

ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนอาจทำให้หลายคนเจ็บ ไข้ได้ป่วยหรือผิวแห้งแตกลอกได้ง่ายๆ วันนี้มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้คุณพร้อมสู้กับลมหนาวในปีนี้มาฝาก

1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมากๆออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไปการรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงจะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกรงกันว่าจะระบาดระลอกที่ 2ด้วย

2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมเท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

3.อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกหลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน ที่แออัดยัดเยียดโดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่

4.ล้างมือบ่อยๆ เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ลูกบิดประตูราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น

5.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม

6.หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม ควรมีผ้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย

7.ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้วก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมากหรืออากาศหนาวทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขนสัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนานๆในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้าก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้

8.พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะกับฤดูกาลหากอยู่ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย


9.การอาบน้ำหลังจากตื่นนอนอาจไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่หรือฟอกเพียงบางจุดหรือหากอยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆอาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำวันละสองครั้งตาม ปกติ และไม่ควรอาบน้ำนานๆ

10.ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป โดยเฉพาะการล้างหน้าเพราะน้ำอุ่นจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฟองมาก ๆเพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว และไม่ควรเช็ดถูผิวแรงๆเพราะจะยิ่งทำให้ผิวลอกมากขึ้น

11.ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำขณะที่ตัวยังหมาดๆ จะช่วยป้องกันผิวแห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้ และควรทาให้ทั่วร่างกายไม่ใช่เฉพาะแขนกับขาเท่านั้น รวมทั้งส่วนที่เรามักไม่ใส่ใจ เช่น เท้าการทาโลชั่นและสวมถุงเท้านอน จะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นลดปัญหาส้นเท้าแตกได้อีกด้วย ส่วนมือที่แห้งและแตก ก็ควรหมั่นทาครีม หรือโลชั่น เช่นกันนอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วยสำหรับใครที่มือแห้งมากๆ ลองนวดด้วยน้ำมันมะกอกทิ้งไว้สักพักล้างออกด้วยน้ำสบู่ แล้วนวดด้วยครีมทามืออีกครั้งไม่ช้าริ้วรอยแห้งแตกก็จะหายไปส่วนผู้ที่ต้องใช้มือทำงานสัมผัสน้ำอยู่ตลอดเวลา เช่น ล้างจาน ซักผ้าช่วงหน้าหนาวจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำ

12.ริมฝีปากที่แห้งแตกก็ควรได้รับการบำรุงและปกป้องเช่นกันสมัยนี้มีลิปมัน ลิปบาล์ม ให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งชนิด For Menของคุณผู้ชายด้วย สำหรับผู้ชายที่รู้สึกเขินเวลาใช้ลิปแท่งอาจเลือกซื้อชนิดตลับไว้พกติดตัวก็ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆเพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากขึ้น

13.ในช่วงหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อยๆ เช่นกันและใช้แชมพูในปริมาณน้อยๆ ก็เพียงพอแล้วเพราะจะทำให้เส้นผมแห้งแตกปลายได้ง่ายและยังทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไปจนเกิดรังแคได้อีกด้วย สำหรับผมที่แห้งมากการเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสำหรับผมแห้งจะช่วยได้หลังการสระผมอาจใช้น้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆเพื่อลดไฟฟ้าสถิต ช่วยให้ผมไม่ฟู


14.บำรุงร่างกายภายนอกกันแล้วก็อย่าลืมบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้นจากภายในด้วยโดยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันโดยเฉพาะน้ำอุ่นซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้นนอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้สดให้มากด้วยเพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายใน

15.การเลือกซื้อเสื้อกันหนาวก็สำคัญ บางคนเลือกซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง เนื่องจากมีราคาถูกแต่ก็อาจนำเชื้อโรคต่างๆ ติดมาด้วย ควรเลือกให้ดีอย่าให้มีรอยด่างดำและรอยคราบสารคัดหลั่งต่างๆ หรือกลิ่นอับชื้นติดอยู่เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคได้ เช่น โรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ เชื้อราหรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ก่อนนำไปสวมใส่ควรต้มในน้ำเดือด และซักให้สะอาดแล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท แม้แต่เสื้อกันหนาวใหม่ๆก็ควรนำไปซักแล้วตากแดดก่อนนำไปสวมใส่เช่นกันเพราะในเนื้อผ้าอาจมีสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังหรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ได้เช่นกัน

สำหรับ 15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวทั้งหมดที่กล่าวมาคงจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงพร้อมรับลมหนาวที่กำลังมาเยือน

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

6 เคล็ดลับก่อนอาบน้ำ



1. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัดหรือการอาบบน้ำอุ่นนานๆถ้าเลี่ยงไม่ได้หลังอาบน้ำให้กระชับผิวด้วยน้ำเย็น หรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อกระชับรูขุมขน


2. การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้คุณสาวๆหลับสบายมากขึ้น

3. ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเลยทันทีเพราะจะทำให้ไม่สะบายท้อง

4. ก่อนอาบน้ำลองจุดเทียนหอมและอาบน้ำอย่างละเมียดละไม แช่น้ำอุ่นซัก 15 นาทีจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้

5. ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัวควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้ายคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเพราะระบบหมุนเวียนโลหิตจะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว

6. หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันทีเพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้เพียง 6 เทคนิคง่ายๆนี้ก็จะสามารถช่วยให้คุณสดชื่น คลายเครียด และดูอ่อน

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แคนตาลูป.. น้ำผลไม้ลดไข้


แคนตาลูป ผลไม้รูปทรงกลมๆ รีๆ เนื้อมีสีส้มสวย รสหวานเย็น เป็นพืชล้มลุกประเภทไม้เลื้อย ซึ่งอยู่ในตระกลูเดียวกันกับแตงโมไทย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo var. cantalupensis แคนตาลูปนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “แตงคุณหนู” เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย

แคนตาลูปได้เข้ามาปลูกในบ้านเราได้ประมาณ 20 กว่าปีมานี้เอง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อที่มีรสชาติเยี่ยม เสน่ห์ของแคนตาลูปอยู่ที่กลิ่นหอม เนื้อมีความกรอบเมื่อเคี้ยว ประกอบกับรสหวาน ยิ่งถ้ากินตอนแช่เย็นยิ่งอร่อยชื่นใจ นอกจากกินเป็นผลไม้สดแล้ว แคนตาลูปยังนิยมนำมาทำน้ำผลไม้เครื่องดื่มสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม

ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U. ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป แคนตาลูป แคนตาลูปจะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

น้ำแคนตาลูปนอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้ การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี ไม่อ่อนเกินไป แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไป เมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กินของมันๆทำให้หัวไม่แล่น



นักวิจัยพบว่า ของกินยามเช้าอย่างเช่น กาแฟกับบิสกิตเคลือบช็อกโกแลต ซึ่งมีไขมันสูงนั้น นอกจากส่งผลเสียระยะยาวทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวานและหัวใจล้มเหลวแล้ว ยังก่อผลเสียเฉพาะหน้าด้วย นั่นคือ ร่างกายรับงานหนักๆ ได้น้อยลงและสมองเฉื่อยชาขึ้น

งานวิจัยซึ่งได้รับทุนจากมูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษชิ้นนี้ ได้ข้อสรุปจากการทดลองกับหนูว่า หลังจากได้รับอาหารที่มีไขมันสูงอยู่นาน 9 วัน หนูทดลองกลุ่มนี้สามารถวิ่งบนสายพานได้แค่ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารไขมันต่ำ หนูพวกนี้ยังเลือกทางวิ่งในเขาวงกตผิดพลาดมากกว่าด้วย แสดงว่าระดับสติปัญญาหรือเชาว์ไวไหวพริบของพวกมันได้รับผลกระทบ

สำหรับสาเหตุที่ไขมันทำให้เกิดผลทางลบอย่างปุบปับเช่นนี้นั้น นักวิจัยของออกซฟอร์ดได้พบว่า กรดไขมันในเลือดซึ่งมีในระดับสูง และอุปนิสัยการกินที่ไม่ถูกหลักอนามัย มีความสัมพันธ์กับอาการหัวใจล้มเหลว นักวิจัยจึงต้องการศึกษาว่าอาหารไขมันสูง ซึ่งหมายถึงการกินเนื้อแดง ชีสและอาหารรสหวาน ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันจะทำให้เกิดผลอย่างไร การทดลองกับหนูครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า การกินไขมันได้เพิ่มระดับโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งจะลดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ ทำให้ร่างกายมีความทรหดอดทนน้อยลง ในเรื่องผลต่อสมองนั้น อาหารไขมันสูงทำให้ความสามารถในการจดจำหรือใช้ความคิดลดน้อยลง และนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น สมองเสื่อม

คำแนะนำก็คือ จำกัดการกินไขมันไม่ให้เกิน 30% ของปริมาณแคลอรีที่เราได้รับต่อวัน แต่ส่วนใหญ่เรามักได้รับเกิน 40% หรือกระทั่ง 50% ในแต่ละวัน ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่หนูทดลองกลุ่มนี้ได้รับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กาแฟไม่ได้ช่วยลดความอ้วน


โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวทางคณะกรรมการอาหารและยา ได้เปิดเผยว่าปัจจุบันพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากอวดอ้างสรรพคุณว่ามีผลในการลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างและโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงเพื่อจูงใจให้ซื้อผลิตภัณฑ์ โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางวิชาการยืนยันว่าสารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนักหรือทำให้ผิวสวยหรือเพิ่มความงามแต่อย่างใด


ในทางกลับกันหากดื่มมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจเกิดจากการเติมน้ำตาล ครีม หรือนมในกาแฟ อีกทั้งทำให้หัวใจทำงานหนัก เนื่องจากได้รับกาเฟอีนมากเกินไป โดยเฉพาะในหากร่างกายของคนที่มีความไวต่อกาเฟอีน และที่ร้ายไปกว่านั้นบางคนอาจได้รับอันตรายจากการเจือปนของยาบางชนิดที่ลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์ เช่น ยาไซบูทรามีน จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วขึ้น เป็นต้น
ดังนั้นการที่จะบริโภคกาแฟลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ควรมีการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญควรที่จะศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ที่จะบริโภคให้ละเอียดรอบคอบให้ดีก่อนว่าได้รับการรับรองถูกต้องตามหลัก อย. หรือไม่ และเมื่อบริโภคแล้วจะมีผลกระทบใดเกิดขึ้นกับร่างกายบ้าง

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 2. มะเขือเทศราชินี 3. มะละกอสุก 4. กล้วยไข่ 5. มะม่วงยายกล่ำ 6. มะปรางหวาน 7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด 9. มะม่วงเขียวเสวยสุก 10. สับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร 2. มะขามเทศ 3. มังคุด 4. ลิ้นจี่ 5. สาลี่

11 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่ 2. ฝรั่งไร้เมล็ด 3. มะขามป้อม 4. มะขามเทศ5. เงาะโรงเรียน 6. ลูกพลับ 7. สตรอเบอร์รี่ 8. มะละกอสุก 9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา 11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง 2. มะขามเทศ 3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ 4. มะเขือเทศราชินี 5. มะม่วงเขียวเสวยสุก 6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 7. มะม่วงยายกล่ำสุก8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 9. สตรอเบอร์รี่ 10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิลส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ
มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี

โป๊ยเซียน : สุดยอดไม้ดอกแห่งความนับถือของชาวจีน

เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ คนไทยที่นิยมปลูกไม้ดอกส่วนใหญ่ยังคงให้ความสนใจกับกระแส "ลีลาวดีฟีเวอร์" ต่างจากเมื่อครั้งที่เรียกชื่อว่า "ลั่นทม" อย่างสิ้นเชิง ทำให้นึกถึงไม้ดอกชนิดหนึ่งที่คนไทยมากมายเคยเสาะหามาปลูกกันอย่างกว้าง ขวางอยู่หลายปีก่อนที่จะค่อยๆ ลดความนิยมลงไป จนอยู่ในระดับปกติเช่นปัจจุบัน ไม้ดอกชนิดที่กล่าวถึงนั้น ก็คือโป๊ยเซียนนั่นเอง

โป๊ยเซียน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Euphorbia Milii Desmoul อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีหนามแหลมแข็งปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้น
ใบ รูปร่างยาวรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ส่วนใหญ่ใบจะเหลืออยู่บริเวณปลายกิ่งเป็นกระจุก ไม่แตกกิ่งก้านมากนัก

ดอกออกเป็นกลุ่ม และมักมีจำนวนคู่ ตั้งแต่ ๒ ดอกขึ้นไปถึง ๓๒ ดอก แต่ละดอกมีกลีบแบนอยู่ตรงข้ามกัน ๑ กลีบ แต่ละกลีบรูปร่างคล้ายไต ปกติดอกกว้างประมาณ ๑ เซนติเมตร มีสีแดง ชมพู เหลืองอ่อน ฯลฯ มีเกสรตัวผู้และรังไข่อยู่ตรงกลางดอก อาจติดผลและมีเมล็ดขยายพันธุ์ได้ แต่ปกตินิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง เมื่อหักกิ่งจะมีน้ำยางสีขาวข้นไหลออกมา

โป๊ยเซียนเป็นต้นไม้ที่นิยม ปลูกในประเทศจีนมาหลายพันปี แต่นักพฤกษศาสตร์ยืนยันว่า แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของโป๊ยเซียนอยู่ที่เกาะมาดากัสการ์ ซึ่งโป๊ยเซียนดั้งเดิมอาจมีลำต้นสูงถึง ๒ เมตร และดอกมีสีแดงอ่อน จนกระทั่งถูกคัดเลือกปรับปรุงจนเป็นต้นโป๊ยเซียนที่มี ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง และมีกลีบดอกเพิ่มมากขึ้น เป็นที่เคารพของชาวจีนสืบมาหลายพันปีจนปัจจุบัน เหตุที่ชาวจีนนับถือต้นโป๊ยเซียน เนื่องจากคำว่าโป๊ยเซียนที่ชาวจีนนำมาตั้งเป็นชื่อต้นไม้ชนิดนี้ คือชื่อของผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงทั้งแปดของชาวจีน ประกอบด้วย ทิก๋วยลี้, ฮั่นเจงหลี, ลื่อท่งปิน, เจียงกั๋วเล้า, น่าไชหัว, ฮ่อเซียนโกว, ฮั่นเซียงจื๊อ และเช่าก๊กกู๋ สำหรับชาวจีนแต้จิ๋วเชื่อว่าโป๊ยเซียนเป็นต้นไม้นำโชคลาภ ป้องกันภยันตรายแก่ผู้ปลูกนิยมปลูกไว้ในกระถางลายครามที่เขียนรูปโป๊ยเซียน เอาไว้โดยรอบ คนไทยเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่าโป๊ยเซียนเช่นเดียวกับคนจีน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Crown of Thorns หรือมงกุฎหนาม

ประโยชน์ของโป๊ยเซียน
ประโยชน์หลักของโป๊ยเซียนที่สำคัญและเด่นชัด คือ ให้ความสวยงามในฐานะไม้ดอกไม้ประดับประเภทปลูกในกระถาง แต่โป๊ยเซียนมีประโยชน์ทางอ้อมในด้านจิตใจ ด้วยคือ เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สิริมงคล ป้องกันภยันตรายประจำบ้าน และมีคุณสมบัติเป็นต้นไม้เสี่ยงทายโดย พ.ต.ท.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนถึงการเป็นต้นไม้เสี่ยงทายของโป๊ยเซียนไว้ว่า "ต้นโป๊ยเซียนนี้ ตามธรรมดาจะออกดอกตั้งแต่ ๑ ดอก ถึง ๔ ดอกเท่านั้น หากผู้ใดจะมีโชคมีลาภ ต้นโป๊ยเซียนนี้จะออกดอกช่อหนึ่งตั้งแต่ ๘ ดอก ๑๖ ดอก ถึง ๓๒ ดอกเป็นต้น ยิ่งออกดอกมาก ยิ่งมีลาภมาก เฉพาะประเทศจีนต้นโป๊ยเซียนนี้จะปลูกกันเฉพาะ พระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ เพื่อไว้เสี่ยงทายวาสนาของตน" โป๊ยเซียน ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนมีความงดงามกว่าในอดีตมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของต้น ขนาดของดอก สีของดอก และจำนวนช่อของดอก นอกจากนั้นโป๊ยเซียนยังเป็นไม้ดอกที่ขยายพันธุ์ง่าย แข็ง แรงทนทาน ให้ดอกตลอดปีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น

ขั้นตอนการดูแลผม ให้ยาวเร็วขึ้น

สระผมและนวดผมให้เรียบร้อย ใช้ผ้าขนหนูค่อยๆซับผม อย่าขยี้ผมเด็ดขาด โดยเฉลี่ยแล้วผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน ดังนั้นถ้าคุณอยากให้ผมยาวเร็วขึ้น แสกผมไว้ซัก 5- 6 แถว บีบวิตามิน อี แบบแคปซูลสำหรับทาหน้าตามรอยแสก นวดบำรุงให้ทั่วหนังศรีษะ ผมจะยาวเร็วขึ้น

อย่าลืม!! ที่จะทำทรีทเม้นท์สัปดาห์ละครั้ง เพราะมันจะทำให้คุณมีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ตัวอย่างการทำทรีทเม้นท์หมักผมแบบธรรมชาติ

บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศรีษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วสระล้างออก อีกสูตรหนึ่งคือ คั้นดอกอันชัญสดกับน้ำสะอาด จนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วง หมักผมทิ้งไว้ 20 นาท ีอีกเช่นกัน แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมคุณดูดกดำเงางาม

เคล็ดลับดีๆ ถ้าคุณมีผมแห้ง ต้องการให้ผมดูเงางาม ใช้แฮร์โค้ต 2-3 หยดชโลมและนวดให้ทั่วศรีษะ แต่ถ้าคุณมีผมมัน ไม่แนะนำค่ะ เพราะแฮร์โค้ตจะทำให้ผมคุณดูมันเยิ้มยิ่งขึ้น แถมยังเป็นแม่เหล็กดูดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกชั้นดีเชียวล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นมเปรี้ยวกับประโยชน์ของจุลินทรีย์

นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักจุลินทรีย์ในนมจนเกิดรสเปรี้ยว อาจเติมสารปรุงแต่ง สี กลิ่น รส หรือ สารอย่างอื่นที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิต บางคนเข้าใจผิดว่านมเปรี้ยวกับนมบูดเหมือนกัน เพราะเห็นว่ามีรสเปรี้ยวเช่นเดียวกัน นมบูด เกิดจากเชื้อโรคที่กินไม่ได้ไปทำปฏิกิริยากับนม เมื่อกินนมบูดเข้าไป จะมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน เพราะอาหารเป็นพิษ จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวเป็นจุลินทรีย์ที่พบตามปกติในทางเดินอาหาร ไม่สร้างสารพิษ และไม่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ จุลินทรีย์ในกลุ่มแลคโตบาซิลลัส เป็นจุลินทรีย์ในกลุ่มที่เรียกว่า โปรไบโอติคส์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่โดยการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายของผู้บริโภค

ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว
1.รักษาอาการท้องเสีย ในลำไส้ของมนุษย์ประกอบด้วยจุลินทรีย์นานาชนิด บ้างก็เป็นประโยชน์ บางชนิดก็ให้โทษ สำหรับคนสุขภาพดี แข็งแรง จุลินทรีย์ทั้งหมดในร่างกายจะอยู่ในสภาพสมดุล นี่คือ ระบบนิเวศน์ของลำไส้ แต่วันใดก็ตามที่ระบบนิเวศน์ในร่างกายเสียสมดุล จุลินทรีย์ที่ดีมีจำนวนลดลง จุลินทรีย์ที่ให้โทษขยายจำนวนมากขึ้น จนมีจำนวนมากกว่าจุลินทรีย์ที่ดีก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสียขึ้นมาได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ การดื่มนมเปรี้ยวที่เกิดจากกรรมวิธีการหมักจะเป็นนมเปรี้ยวที่มีทั้งกรดแลคติก และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำนมทุกครั้งที่เราทานนมเปรี้ยว เราไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่เรายังได้รับจุลินทรีย์ที่ยังมีชิวิตจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายด้วย จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง และทำให้อาการท้องเสียนี้หายไปได้ และยังสามารถรักษาโรคท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีชิวิตนี้ คือ ตัวการสำคัญที่ทำให้นมเปรี้ยวมีคุณค่าต่อร่างกายต่างจากนมเปรี้ยวเทียมที่เติมกรดให้มีเพียงแต่รสเปรี้ยวเท่านั้น

2.ยกระดับภูมิคุ้มกันโรค จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวไม่เพียงป้องกันและรักษาโรคได้ด้วยฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเชื้อแลคโตบาซิลัสจะช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ นอกจากนี้เชื้อแลคโตบาซิลัสยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเชื้อแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง จับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ ยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) ช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็ง)

3.ควบคุมจุลินทรีย์ในลำไส้และยับยั้งเชื้อโรคของอาหารเป็นพิษ ในนมเปรี้ยวมีการสะสมของสารเมตาบอไลท์ที่จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติกขับออกมา สารเหล่านี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการในลำไส้ได้หลายชนิด เช่น Salmonella และ E. coli ทำให้พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ดังนั้น เราควรจะรับประทานนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

4.ช่วยให้ย่อยง่าย จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว จะสร้างเอ็นไซม์ที่สามารถย่อยอาหารได้มากกว่าปกติ เช่น เอ็นไซม์ย่อยโปรตีน (Protease) จะช่วยให้การย่อยเคซีนซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในนม ช่วยให้มีการหลั่งน้ำลายและเอ็นไซม์ในกระเพาะอาหารและตับอ่อนมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น จุลินทรีย์เหล่านี้ยังสร้างเอ็นไซม์ย่อยน้ำตาลแลคโตส (B-galactosidase) ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ซึ่งคนเราทั่วๆ ไปจะขาดเอ็นไซม์นี้ หลังจากหย่านม ทำให้บางคนเมื่อทานนมแล้วจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากน้ำตาลแลคโตสไม่ถูกย่อย แต่จุลินทรีย์ที่เติมลงในนมเปรี้ยวนี้จะไปช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้ผู้บริโภคไม่เกิดอาการท้องเสีย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติกนี้ยังช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

5.เป็นแหล่งวิตามิน บี 1 และวิตามิน เค แบคทีเรียในนมเปรี้ยวยังสามารถสังเคราะห์วิตามิน บี 1 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามิน เค ในลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา และช่วยในการแข็งตัวของเลือด

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กรุ๊ปเลือด กับการดูแลตัวเอง


ในปัจจุบันเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพดูจะเป็นเรื่องที่ทุกคนกำลังให้ความ สนใจอย่างมาก การออกกำลังกาย การกินตามกรุ๊ปเลือดดูจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม มีข้อมูลจากศูนย์สุขภาพมาแนะนำกัน

คนที่มีกรุ๊ปเลือด A
จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหมขณะเดียวกันไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อ สัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะ ติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบ คู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควร กินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB
เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำ ให้เกิดความเครียด

คนที่มีเลือดกรุ๊ป O
ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

เหล่านี้เป็นเพียงแค่แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ อยู่ที่ตัวคุณเองแล้ว !!