วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

● วันเด็กผู้หญิง " ฮินามาซึรี " ●





มีขึ้นในวันที่ 3 เดือน เดือน 3 (มีนาคม) ของทุก ๆ ปี วันนี้ เป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความยินดีกับการเจริญเติบโต และสุขภาพ แข็งแรงสมบูรณ์ของเด็กผู้หญิงในญี่ปุ่น หรือจะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "โมโม่โนะเซ ซึ คุ " บ้านที่มีเด็กผู้หญิงจะนำตุ๊กตาที่เรียกกันว่า"ฮินา"ออกมาจัดตั้งโชว์ไว้บนชั้นที่เป็น แบบขั้นบันได บางบ้านที่มีเงินหรือเป็นบ้านของคนรวยจะมีตุ๊กตาออกมาตั้งโชว์อย่าง มากมาย โดยเฉพาะชั้นที่วางตุ๊กตานั้นจะมีมากถึง 7ชั้นเลยทีเดียว


เล่าลือกันว่าได้รับมรดกตกทอดมาจาก ประเทศจีน ที่ประเทศจีนนั้นจะมีพิธีการบวงสรวงโดยจะนำตุ๊กตาไปลอยน้ำเชื่อกันว่า ถ้านำตุ๊กตาไปลอยน้ำแล้วเด็กจะมีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บพิธีนี้ได้ตกทอดมาถึง ประเทศญี่ปุ่น


แต่ต่างกันนิดหน่อยคือญี่ปุ่นจะทำพิธีนี้ให้ เฉพาะแต่เด็กที่เป็นผู้หญิงอย่างเดียวเท่านั้น และจะบวงสรวงด้วยขนมหวานมีความ มุ่งหมายในการบูชาเหมือนกันกับประเทศจีนที่ต้องการที่จะให้เด็กมีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ พิธี "ฮินามาซึรี"นี้ สันนิฐานกันว่ามีมาตั้งแต่สมัย "เอโดะ " (ประมาณ ปี1603-1867)และได้ทำสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้


ในสมัยต้น ๆ พวกผู้ดีที่มีฐานะดี ๆ ทั้งหลาย ในสมัยโบราณจะทำตุ๊กตาฮินะขึ้นมาจากวัสดุจำพวกไม้บ้าง,กระดาษบ้างทำขึ้นมาอย่างง่าย ๆ เพื่อใช้เป็นตัวแทนของความเจ็บป่วย และสิ่งที่เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าของบุตรหญิง ของตน และจะนำไปลอยที่แม่น้ำหรือทะเล เพื่อให้ช่วยพาสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นให้ช่วยลอยไปกับ สายน้ำตามความเชื่อถือที่ตามมาจากประเทศจีน
ตุ๊กตาฮินะนั้นเป็นตัวแทนของทุพภิกขภัยของเด็ก ผู้หญิง เป็นของที่สำคัญอย่างยิ่ง การตั้งบูชาเซ่นไหว้จึงเป็นประเพณีและพิธีบูชาที่เด็กผู้หญิงใน ประเทศญี่ปุ่นทุกคนจะต้องทำเพื่ออธิฐานขอให้มีความสุขความสมบูรณ์มีพลานามัยต่อไป

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'




มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'

แม้วัฒนธรรมการกินของไทยเราจะใช้ช้อนส้อมในการตักอาหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้ 'ตะเกียบ' ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของชาติเอเชียหลายๆชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีและเวียดนาตะเกียบเข้ามาในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานกว่าช้อนส้อมซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของชาวยุโรปที่ได้รับความนิยมในไทยมากกว่า อย่างไรก็ตาม ตะเกียบมีความสำคัญเช่นกันเพราะอาหารจีนได้เข้ามาแทรกอยู่ในวิถีชีวิตคนไทย ที่เห็นได้ชัด คือ การใช้ตะเกียบกินก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ส่วนในปัจจุบันคนไทยก็ใช้ตะเกียบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่ออาหารญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยม วันนี้เราจึงนำข้อห้ามการใช้

1.ห้ามปักตะเกียบแบบเสียบให้ตั้งบนถ้วยข้าว เพราะการทำแบบนี้จะถือเป็นข้าวสำหรับคนที่เสียชีวิตแล้ว 2.ห้ามถือตะเกียบส่ายไปมาบนอาหารหลายชนิด โดยไม่ตัดสินใจเสียที ว่าจะเลือกอาหารชนิดใด
3.ห้ามนำตะเกียบแทงของกินหรือใช้ตะเกียบชี้คน
4.ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหารชิ้นที่ต้องการในถ้วยอาหาร
5.ห้ามใช้ตะเกียบเพื่อดึงหรือขนย้ายภาชนะอาหาร
6.ห้ามใช้ปากดูดตะเกียบ


นอกจากนี้ยังถือว่า สิ่งที่หยิบและส่งต่อรับด้วยตะเกียบได้ ก็คือ กระดูกของศพที่เผาแล้วในพิธีงานศพเท่านั้น ดังนั้นจึงห้ามทำเช่นนี้บนโต๊ะอาหาร

ทั้งนี้ เทคนิคในการใช้ตะเกียบถือเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก โดยในประเทศตะวันตกมีศูนย์ฝึกอบรมการใช้ตะเกียบโดยเฉพาะ และในประเทศเยอรมนีมีพิพิธภัณฑ์ตะเกียบแห่งแรกของโลกที่จัดแสดงตะเกียบจากทองคำ เงิน หยก และกระดูกสัตว์รวมกว่าหมื่นคู่ โดยตะเกียบเหล่านี้นำมาจากประเทศและเขตแคว้นต่างๆทั่วโลก

8 วิธีให้คุณหันมาดื่มน้ำง่ายขึ้น


ปกติเราส่วนใหญ่ก็ทราบก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายคนก็ไม่เคยชิน และทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันไม่ได้สักที เราเลยมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้ง่ายขึ้น มาฝากกันค่ะ


1. ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นนอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอดทั้งวัน ทั้งยังช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย

2. บีบน้ำมะนาวใส่นิดๆ หากคุณรู้สึกแปลกๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ

3. ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4. ถ้าร้อนนักก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่นๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ

5. ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอกๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

6. เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่ายๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

7. ถูกและถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรีแบบไม่อั้น

8. หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อนๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ความสำคัญของกรดอะมิโน


กรดอะมิโนเป็นสารอินทรีย์ที่มีหมู่อะมิโน (-NH2 ) และหมู่กรด (-COOH) อยู่ในโมเลกุลเดียวกัน โดยหมู่อะมิโน หมู่กรด ไฮโดรเจน และหมู่ R (side chain) เกาะอยู่กับอะตอม C กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของโปรตีน กรดอะมิโนแต่ละตัวจะเชื่อมโยงกันเป็นสายยาวด้วยพันธะเป็บไทด์ (peptide bond ) ซึ่งเป็นพันธะที่เชื่อมระหว่างหมู่คาร์บอกซิลิก (COOH) ของกรดอะมิโนตัวหนึ่งกับหมู่อะมิโน (NH 2 ) ของอีกตัวหนึ่ง

กรดอะมิโนที่พบในธรรมชาติมีประมาณ 20 ตัว มีเพียง 8 ตัว ที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็น (Essential Amino Acid ) เพราะเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ต้องได้รับจากอาหารที่รับประทานเท่านั้น กรดอะมิโนจำเป็นนี้ได้แก่ ไอโซลูซีน (isoleucine) ลูซีน (leucine) ไลซีน (lysine) เมทไธโอนีน (methionine) เฟนนิลอลานีน (phenylalanine) ทริโอนีน (threonine) ทริปโตเฟน (tryptophan) และวาลีน (valine) ส่วนกรดอะมิโนที่เหลือเรียกว่ากรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น (non Essential Amino Acid ) ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้จากกระบวนการต่าง ๆ เช่น สังเคราะห์ซิสทีน (cystein) จากเมทไธโอนีน สังเคราะห์ไทโรซีน (Tyrosine) จากเฟนนิลอลานีน

เมื่อรับประทานอาหารที่มีโปรตีนร่างกายจะย่อยสลายโปรตีนได้กรดอะมิโนและกรดอะมิโนที่ได้ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้

-สังเคราะห์โปรตีนต่าง ๆ ขึ้นใหม่ตามที่ร่างกายต้องการ เช่น สร้างกล้ามเนื้อ โครงกระดูก

-สังเคราะห์สารอื่น เช่น เป็นตัวตั้งต้นของการสร้างสารส่งสัญญาณประสาท
(Neurotransmitter) สังเคราะห์ฮอร์โมนธัยรอกซิน (Thyroxine) และเอนไซม์ เป็นต้น

-เป็นสารตั้งต้นหรือตัวกลางในการสังเคราะห์กรดอะมิโนตัวอื่น ๆ

-ช่วยเพิ่มการสะสมไกลโคเจนและไขมัน

-สร้างกลูโคสในยามที่ร่างกายขาดแคลน

-ให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตและไขมัน

-การใช้กรดอะมิโนเพื่อประโยชน์ดังกล่าวข้างต้น จะเป็นไปด้วยดีจำเป็นต้องได้รับคาร์โบไฮเดรต และ ไขมันให้เพียงพอ เพื่อว่ากรดอะมิโนจะได้ไม่ถูกดึงไปใช้สร้างกลูโคสและพลังงานมากนัก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดโปรตีนได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าได้รับโปรตีนมากเกินไปก็จะถูกนำไปสร้างเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ทำให้เกิดโรคอ้วนขึ้นได้


ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารอย่างพอเหมาะและให้ได้กรดอะมิโนจำเป็นอย่าง เพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้โดยการเลือกบริโภคอาหารที่มีโปรตีนและกรดอะมิโนจำเป็นครบ ถ้วน เช่น เนื้อสัตว์ ปลา นม ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัย

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีขจัดความเครียด 5 วันทำงาน

ทุกครั้งที่เริ่มต้นสัปดาห์แห่งการทำงาน คุณอาจรู้สึกเบื่อเมื่อนึกถึงงานที่ต้องทำอีก 5 วัน ตลอดจนปัญหาที่จะเข้ามาแทรกทำให้คุณต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนี้

วันจันทร์ : ปรับนิสัยการทำงาน

มักเป็นวันที่จราจรคับคั่งเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันแรกของสัปดาห์การทำงาน
หากคุณไม่อยากออกจากบ้านเพื่อเผชิญกับรถติดให้อารมณ์เสียกันตั้งแต่เช้า ขอแนะนำให้ตื่นเร็วขึ้นอีกสัก 10 นาที จะได้มีเวลาจัดการตนเองมากขึ้น ออกจากบ้านเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องประสบกับจราจรคับคั่งอย่างที่เคยชิน เมื่อไปถึงที่ทำงานให้จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ แต่ควรจดในสิ่งที่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นอาจเหลืองานที่ยังทำไม่ทันบนกระดาษ ก่อให้เกิดความรู้สึกเครียด กังวลมากขึ้นไปอีก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ จัดการงานไปทีละส่วน วิธีนี้จะช่วยป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง ช่วยให้คุณรู้สึกว่างานนั้นง่ายและเสร็จเร็วกว่าที่คิด ในขณะทำงานอาจมีเวลาสักช่วงที่รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำงาน ให้พยายามเลือกทำงานชิ้นที่คิดว่าใช้เวลาน้อยจะเหมาะที่สุด และสุดท้ายอุปสรรคของการทำงาน คือ การติดต่อสื่อสาร หากคิดว่าช่วงไหนยุ่ง มีงานเร่งด่วน ควรปิดมือถือและใช้ระบบฝากข้อความแทน

วันอังคาร :
สร้างบรรยากาศการทำงานที่รื่นรมย์

สาเหตุของความเครียดส่วนหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน เช่น เสียงดัง ห้องทำงานไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มีส่วนช่วยทำให้มีแรงใจในการทำงานมากขึ้น เริ่มจาก ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน จัดของให้เป็นระเบียบ หยิบใช้ หรือหาง่าย เพิ่มความสะดวก หาของตกแต่งเพิ่มสีสันบนโต๊ะทำงาน จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเช่น แจกันดอกไม้ ภาพถ่ายกับเพื่อน ครอบครัว หรือภาพเขียนที่ชื่นชอบ ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ทำงาน สำรวจว่าโต๊ะทำงานมีแสงสว่างเพียงพอแล้วหรือไม่
เพราะหากมีน้อยไปจะเสียสายตา แก้ไขโดยติดตั้งโคมไฟตั้งโต๊ะ เก้าอี้ไม่แข็งเกินไป นั่งแล้วสายตาพอดีกับโต๊ะ จอคอมพิวเตอร์

วันพุธ :
ลดความกังวล

ความกังวลแบบพอดี ทำให้เราไม่ประมาท รู้จักเตรียมการล่วงหน้า ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำงาน อย่างไรก็ตามหากมีมากไป จะเป็นอุปสรรคในการทำงาน ทำให้ประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจ และอาจทำให้งานล่าช้า นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงชีวิตนอกเวลางาน เก็บไปคิดให้กลุ้มใจเป็นวันๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกกังวลมาก ขอให้ถามตนเองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นของใคร คิดกังวลแทนคนอื่นมากไปหรือไม่ จากนั้นอาจปรึกษา พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ และขบคิดดูว่าปัญหามีขอบเขตแค่ไหน และเริ่มหาทางแก้ไขปัญหา ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย

วันพฤหัสบดี : หันมาฟังเสียงตัวเอง ขจัดความเครียด


โดยปกติในชีวิตประจำวัน เวลาคิด หรือตัดสินใจ เรามักพูดกับตนเองในใจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ แง่บวก และแง่ลบ ซึ่งการคิดในแง่บวกจะช่วยในการตัดสินใจ เพิ่มความมั่นใจ แต่คิดในแง่ลบจะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลมากขึ้น เช่น คนที่ยึดถือในความสมบูรณ์แบบมักคิดแบบเกินตัว ซึ่งมักรำพึงรำพันกับตัวเองว่า ""ฉันน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ (ซึ่งสถานการณ์จริง ผ่านมานานสายเกินแก้ไขแล้ว)" ยิ่งเพิ่มความเครียดให้ตนเอง ทางแก้ไขควรคิดแบบแง่บวกมากขึ้น เปลี่ยนจากคำถามว่า "ฉันทำผิดพลาดตรงไหน" มาเป็น "จะแก้ไขอย่างไรดี" จะเหมาะสมกว่า

วันศุกร์ : วิธีขจัดเครียดอย่างง่ายและรวดเร็ว


ในระหว่างวันที่ คุณจะต้องเจอกับปัญหาหลายอย่าง มีวิธีขจัดความเครียดอย่างได้ผลและรวดเร็วมาฝากโดยการ กำหนดลมหายใจ ให้หายใจเข้า-ออก ลึกๆหลายๆครั้ง โดยไม่เปิดปากจะรู้สึกว่าอากาศจะเข้าไปเต็มปอด และท้อง จากนั้นก็หายใจออก พักสักครู่ อาจไปเดินเล่นสักพัก หรือฟังเพลง พักดื่มน้ำ ของว่างสักนิด ออกกำลังกาย นั่งนานๆมาทั้งวันอาจรู้สึกตึงบริเวณหลัง ขาดการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายได้ยืดเส้นยืดสาย เพียงแค่วันละ 10 นาที ก็จะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรืออาหารไขมันสูง หมั่นยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นวิธีที่แบบธรรมชาติที่ลดความเครียดได้อย่างดี

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

มารู้จักสุดยอดยานยนต์ Ferrari



Ferrari ก่อตั้งขึ้นโดยนาย Enzo Ferrari ตั้งแต่ ปี 1929 โดยมีจุดประสงค์ต้องการที่จะทำเป็นอู่รถสำหรับทำรถเพื่อใช้ในการแข่งขัน motor sport เท่านั้น

และหลังจากนั้นอีก 10 ปีต่อมา Enzo Ferrari จึงได้ก่อตั้งบริษัท Ferrari ขึ้นเพื่อผลิตรถยนต์ motor sport ภายใต้ Brand Ferrari ของเขาเอง แต่หลังจากที่ตั้งได้ไม่นานก็เกิดสงครามโลกขึ้นและผลของสงครามโลกนี่แหละ ทำให้ โรงงานของ Ferrari ได้รับความเสียหายอย่างมากจากการถูกทิ้งระเบิด พอสงครามสงบลงนาย Enzo Ferrari ได้ทำการเปิดโรงงานใหม่อีกครั้ง เรามาดูกันว่าหลังจากนั้น Ferrari ได้เนินการอย่างไรต่อไป

-
ปี 1946 Ferrari กลับมาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์อีกครั้ง โดยยังคงเป้าหมายหลักคือผลิตรถยนต์ประเภท Motor Sport

-
ปี 1969 Enzo Ferrari ได้ขายหุ้น 50% ให้กับ บริษัท Fiat ทำให้ Ferrari ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น Ferrari S.p.A. Esercizio
Fabbriche Automobili e Corse

-
ปี 1988 Fiat Group's ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของ Ferrari กว่า 90% โดยตระกูล Ferrari เหลือหุ้นเพียง 10% เท่านั้น

และตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา Ferrari ก็เป็นที่รู้จักในชื่อของ บริษัท Ferrari S.p.A. อีกอย่าง ไมเคิล ชูมัคเกอร์ ใช้รถของ Ferrari แข่งใน formula1 ด้วยนะจะบอกให้

ในบรรดารถสปอร์ทพันธุ์อิตาลีที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ คงไม่มีรถสปอร์ทยี่ห้อไหนอีกแล้ว ที่จะโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ยิ่งไปกว่ารถ เฟอร์รารี เจ้าของสมญานาม
"ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล" (THE PRANCING HORSE FROM
MARANELLO)
สัญลักษณ์ของเฟอร์รารี แยกออกได้เป็นสามส่วนและแต่ละส่วนมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือพื้นสีเหลืองเป็นสีประจำเมืองโมเดนา (MODENA) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานเฟอร์รารี รูปม้ากำลังเผ่นโผนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ฟรานเชสโค บารัคคา (FRANCESCO BARACCA) เสืออากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนแถบสีเขียว-ขาว-แดง ที่พาดอยู่ตอนบนคือสีธงชาติอิตาลี ประวัติความเป็นมาของเฟร์รารีแยกไม่ออกจากประวัติความเป็นมาของ เอนโซ เฟอร์รารี (ENZO FERRARI)
"ปูชนียบุคคลของวงการรถสปอร์ท และกีฬารถแข่ง" ผู้ก่อตั้งกิจการและนำเฟอร์รารีไปสู่ความรุ่งโรจน์
ก่อนก่อตั้งกิจการของตนเอง
เอนโซ เฟร์รารี เคยเป็นนักขับรถแข่งให้แก่ อัลฟา โรเมโอ
มาก่อนในปี 1940 ขณะที่มีอายุ 42 ปี เขาลาออกและก่อตั้งกิจการขึ้นเอง มีชื่อว่า SOCIETA AUTO AVIO CONSTRUZIONI RERRARI กิจการที่ทำคือ ออกแบบและผลิตรถแข่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ทและทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงอยู่ยงคงกระพันมากว่า 4 ทศวรรษ

กล่าวได้ว่า แทบไม่มีการแข่งรถรายการใดในยุโรปที่เฟอร์รารีไม่เคยชนะ
เฟอร์รารีคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้ผลิตมาแล้วรวม 14 ครั้ง คว้าแชมป์การแข่งเลอมังส์ 24 ชั่วโมง 9 ครั้ง ชนะเลิศการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลกรวม 103 ครั้ง ครองตำแหน่งแชมป์โลกผู้สร้างรถ 6 สมัย และครองตำแหน่งแชมป์โลกนักขับรวม 8 สมัย ในวงการแข่งรถฟอร์มูลา- 1 ชิงแชมป์โลก เฟอร์รารีคือทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดควบคู่กับการแข่งรถคือการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดเพื่อจำหน่ายให้แก่นักเลงรถยนต์ผู้มีรสนิยม โดยที่ส่วนใหญ่เฟอร์รารีจะออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ขึ้นเอง และว่าจ้างผู้ชำนาญการด้านตัวถัง เช่น ปินินฟารินา ฯลฯ เป็นผู้ออกแบบตัวถังในช่วง 46 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปัจจุบัน เฟอร์รารีผลิตเครื่องยนต์ไปแล้วประมาณ 160 แบบ และผลิตรถสปอร์ทแบบต่างๆ ออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คัน รถที่ผลิตมากที่สุด คือ เฟอร์รารี 328 จีทีเอส (4,979 คัน) รองลงไปคือเฟอร์รารี เตสตาโรสซาและเฟอร์รารี จีทีเอส ควาตโตร วาลโวเล ปัจจุบัน เฟอร์รารีมีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในกลุ่มของเฟียตเช่นเดียวกับลันชิอา และอัลฟา โรเมโอ

กิจการของเฟอร์รารีแยกออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนการผลิตรถตลาด และส่วนทีมแข่งรถ ทั้งสองส่วนนี้มีการบริหารแยกเป็นอิสระจากกัน ปัจจุบันเฟร์รารีผลิตรถออกจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่นแต่ทุกรุ่นก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถสปอร์ทชั้นยอด สำหรับกิจกรรมการแข่งรถ เฟอร์รารีกำลังอยู่ในช่วงที่ตกต่ำสุดขีดเพราะไม่เคยชนะอีกเลยนับแต่ชนะครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 1990

กินสตรอเบอรี่กันสมองเสื่อม


ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า พวกผลเบอรี่ทั้งหลายสามารถทำให้สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมเมื่อถึงวัยชราได้ สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ และพวกเบอรี่ที่มีสีสันสดใสทุกชนิดจะกระตุ้นให้กลไก "แม่บ้าน" ภายในสมองทำงาน
กลไกที่ว่านี้จะเก็บกวาดและรีไซเคิลเซลล์บางชนิดที่ทำให้ความจำเสื่อมหัวคิดไม่แล่น ซึ่งจะทำให้สติปัญญายังคงเฉียบแหลมแม้ย่างสู่วัยชรา
รายงานซึ่งนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการของสมาคมเคมีอเมริกัน บอกว่า ลูกวอลนัตก็อาจให้ผลอย่างเดียวกันนี้ด้วย ผลวิจัยพบว่า "เซลล์แม่บ้าน" หรือไมโครเกลีย ทำหน้าที่ทำลายหรือรีไซเคิลสิ่งตกค้างทางชีวเคมีซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำงานของสมอง เมื่อคนเราแก่ตัวลงเซลล์พวกนี้จะทำหน้าที่อ่อนด้อยลง ทำให้สิ่งตกค้างสั่งสมมากขึ้น
นัก วิจัย ชิบู ปูลอส บอกว่า ไมโครเกลียจะเริ่มทำลายเซลล์ที่มีสภาพดีในสมอง แต่พวกผลเบอรี่สามารถช่วยได้ ทีม วิจัยของกระทรวงเกษตรของสหรัฐคณะนี้บอกว่า ข้อค้นพบนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ระบุถึงข้อดีของลูกเบอรี่ชนิดต่างๆ ในเรื่องนี้ เบอรี่มีสารแอนโธไซยานินในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง อัลไซเมอร์ และเบาหวานได้ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงและสีม่วงนั้น พบได้ในบีทรูต กะหล่ำแดง ลูกท้อ มะเขือสีม่วง

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

เป็น ภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ?


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ คือ

1.อาหารที่อยู่ในกลุ่มอาหารขยะ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกรุบกรอบในซองสวยๆ น้ำอัดลม ลูกอม ลูกกวาด เพราะทั้งหมดนี้มีสารปนเปื้อน แต่งสี แต่งกลิ่น ตลอดจนสารกันบูด สารกันเชื้อรา
สารเหล่านี้จะกระตุ้นทำให้อาการของภูมิแพ้กำเริบได้

2.นมวัว ในกรณีเด็กบางรายที่เคยมีอาการแพ้นมวัว ให้สงสัยว่าอาการภูมิแพ้ครั้งนี้อาจเกิดจากนมวัวอีกก็ได้
ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวทุกชนิดและดื่มนมถั่วเหลืองทดแทน

3.ผงชูรส ควรงดเด็ดขาด เพราะโซเดียมในผงชูรสทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลงได้

4.อาหารทอด อาหารมัน ถ้ารับประทานมากเกินไป ความมันจะกระตุ้นให้เกิดเสมหะในทางเดินหายใจ
มีผลทำให้อาการภูมิแพ้แย่ลงได้

ใครรู้ตัวว่าเป็นภูมิแพ้ ก็ระวังเรื่องอาการการกินด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี