วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ทำไม ? เรียกอเมริกาว่า เมืองลุงแซม


บ่อยครั้งที่ได้ยินคนใช้คําว่า "ลุงแซม" แทนคําว่าสหรัฐอเมริกา เช่น เมืองลุงแซม มีใครเคยสงสัยไหมว่า "ลุงแซม" น่ะมีตัวตนจริงหรือเปล่า

ความ จริงแล้วเรื่องมันมีที่มาว่า ระหว่างการสงครามเมื่อปี 1812 นายแซมวล วิลสัน แห่งเมืองทรอย นิวยอร์ค เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้บรรจุเนื้อเค็มลงถังส่งไปให้ทหารแนว หน้า ซึ่งก่อนที่จะส่งไปนั้น วิลสัน จําเป็นจะต้องตรวจสอบให้เรียบร้อย ดังนั้น เพื่อแสดงว่าเขาได้ตรวจสอบเนื้อเค็มแล้ว วิลสันได้ประทับอักษร "U.S." ลงบนแผ่นเนื้อ เพื่อระบุว่ามันเป็นของรัฐบาล แต่เพื่อนบ้านของวิลสันผู้ชอบเรียกเขาว่า "ลุงแซม" กลับไปตีความหมายว่าเป็นชื่อย่อของ "Uncle Sam Wilson"
หลายปีผ่านไป หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งสร้างรูปการ์ตูนชื่อ "ลุงแซม" เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลอเมริกัน และภาพนั้นก็แพร่หลายยิ่งขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยโชว์รูป "ลุงแซม" ไว้ในดาวและแถบของธงสหรัฐ การ์ตูน ลุงแซมที่ดังมากคือ รูปนิ้วชี้แล้วพูดว่า "ผมต้องการคุณเพื่อนกองทัพบกสหรัฐ" เรื่องก็เป็นเช่น

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

Jules Verne



เกิด: 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1828 ประเทศฝรั่งเศส

ถึงแก่กรรม: 24 มีนาคม ค.ศ.1905 ประเทศฝรั่งเศส

อาชีพ : นักเขียน

สัญชาติ : ฝรั่งเศส

แนวทางการเขียน : นิยายวิทยาศาสตร์

ผลงานสำคัญ : แปดสิบวันรอบโลก,ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์


ชูลส์ กาบรีล แวร์น (ฝรั่งเศส: Jules Gabriel Verne) (8 กุมภาพันธ์, พ.ศ. 2371 - 24 มีนาคม, พ.ศ. 2448) หรือที่รู้จักกันว่า จูลส์ เวิร์น เกิดที่เมืองนองส์ (Nantes) ประเทศฝรั่งเศส เป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์สมัย แรกๆ แวร์นมีชื่อเสียงจากการเขียนเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยในอวกาศ ใต้น้ำ และการเดินทางต่างๆ ก่อนจะมีการประดิษฐ์เรือดำน้ำ หรืออากาศยานจริงๆ เป็นเวลานาน นวนิยายของเขามักใส่เนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่สมจริง ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกันในสมัยนั้นแต่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างดีในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะบุกเบิกงานด้านนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มีสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อหาแนวอื่นๆ ที่เขาเขียน

บทประพันธ์ที่สำคัญได้แก่ Around the World in Eighty Days, Five Weeks In a Balloon, 20,000 Leagues Under the Sea นิยายวิทยาศาสตร์ในยุคท้าย ๆ ของ จูลส์ เวิร์นจะเริ่มสะท้อนถึงการมองเห็นด้านมืดของเทคโนโลยีรวมถึงการนำเทคโนโลยี ไปใช้อย่างผิดทาง เช่น The Clipper of the Clouds, The Master of the World จูลส์ เวิร์นเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2448 ภายเขาได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์โลก" ร่วมกับ เฮช. จี. เวลล์ (Herbert George Wells) นักเขียนชาวอังกฤษ ซึ่งนักเขียนทั้งสองคนนี้ได้มีอิทธิพลต่อนิยายวิทยาศาสตร์และวงการวิทยาศาสตร์มาจนถึงปัจจุบันนี้

ชื่อของชูลส์ แวร์น ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ ยานขนส่งอัตโนมัติ (Automated Transfer Vehicle - ATV) ลำแรกขององค์การอวกาศยุโรป ซึ่งจะทำหน้าที่ขนส่งพัสดุ รวมทั้งต้นฉบับนิยายวิทยาศาสตร์ของเขา ขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550


วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้อง O.K. ชื่อนี้มีที่มา


คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าวัยใดก็ตามแต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?

จริง ๆ แล้วที่มาของคำนี้เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนาน และยังไม่มีข้อสรุปอย่างแน่ชัด แต่หนึ่งในเรื่องราวที่นิยมกันคือเรื่องนี้

คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติเขาจะ เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ

ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้ มีความเจริญก้าวหน้ามาก
งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะการที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง

และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด
และภาษาเขียน มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา


ชื่อวิทยาศาสตร์ Etlingera elatior (Jack) R.M. Sm

ตระกูล ZINGIBERACEAE

ชื่อสามัญ Torch Ginger


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น
ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้านี้ จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม

ใบ
มี รูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบ แหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ

ดอก
ดอก ดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ (Bracts) มี 2 ขนาด ส่วนโคนประกอบด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับ ขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับ ขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบ ประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่ จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอก จะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะ พัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ


พันธุ์
ปัจจุบันพันธุ์ดาหลาที่ปลูกตัดดอกมีอยู่ 2 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์สีชมพู และพันธุ์สีแดง


การขยายพันธุ์

ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

1. การแยกหน่อ
ควร แยกหน่อที่มีความเหมาะสมนำไปปลูกคือ สูงประมาณ 60-100 ซ.ม. ขึ้นไปและมีกิ่งอ่อนกึ่งแก่นประมาณ 4-5 ใบ ใช้มีตัดให้มีเหง้า และรากติดอยู่ด้วย ซึ่งหน่อชนิดนี้จะมีหน่อดอกอ่อน ๆ ติดมาด้วยประมาณ 3 หน่อ นำไปชำในถึงพลาสติก 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนปลูก


2. การแยกเหง้า
โดยการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น แล้วนำไปชำในแปลงเพาะชำ วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะเริ่มให้ดอก


3. การปักชำหน่อแก่
โดยนำไปชำในแปลงเพาะชำให้แตกหน่อใหม่แข็งแรง แล้วจึงค่อยย้ายมาปลูกลงแปลง


การปลูก
โดย ใช้หน่อที่มีเหง้าและรากติดมาด้วย เหง้าที่ตัดมาควรมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว โดยสังเกตุให้หน่อนั้น ๆ มีใบติดมาประมาณ 4 คู่ใบ ปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้ แล้วทำการกลบดินให้สูงประมาณ 6 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพอกทับโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรหาไม้หลักมาผูกติดกับลำต้นกันต้นโยก

การดูแลรักษาดาหลา

การให้ปุ๋ย
จะ ให้ปุ๋ยดาหลาประมาณ 2 - 3 เดือนต่อครั้ง ซึ่งจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) ในอัตรา 96 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยคอกในอัตรา 15 กก./ต้น/ปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัสถุที่ผุพังแล้ว เช่น ใบไม้ต่าง ๆ หรือลำต้นแก่ของดาหลา, วัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่อง มาเป็นปุ๋ยหมัก หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโค้นต้น ซึ่งดินแลนนี้จะมีอินทรีย์วัตถุสูง

การให้น้ำ
ดา หลาเป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณที่มากพอสมควร โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของการปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้แครงสาดวันละ 1 ครั้ง เมื่อต้นดาหลาตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็น ประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง แต่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้นโดยใช้ระบบการให้น้ำแบบพ่นฝอย (springkler) บนแปลงที่ไม่ยกร่อง


การป้องกันกำจัดวัชพืช

ดา หลาเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตเร็ว แตกหน่อได้มาก ทำให้กอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน การกำจัดวัชพืชจะต้องกระทำมากในช่วงแรกของการปลูก เมื่อดาหลาโตมาก ๆ จะทำให้แสงที่ส่องผ่านมากระทบพื้นดินน้อย วัชพืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จึงไม่ต้องทำการกำจัดวัชพืชมากนัก

โรคและแมลง
ยังไม่พบโรคที่เป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา แต่มีแมลงสำคัญดังนี้

1. หนอนเจาะลำต้น
ลักษณะการทำลาย
เข้าทำลายต้นแก่ โดยไปเจาะบริเวณลำต้น ทำให้ต้นดาหลาหยุดชะงักการเจริญเติบโต และไม่สามารถให้ออกดอกได้
- การป้องกันกำจัด
ใช้ฟูราดาน 3% โรยบริเวณรอบ ๆ โค้นต้น หรืออาจใช้เซฟวิน

2. มดแดง
ลักษณะการทำลาย
กรดจากสิ่งขับถ่ายของมดแดงจะทำให้กีบดอกเกิดรอยขาวเป็นจุด ๆ
- การป้องกันกำจัด
เก็บรังมดแดงออกจากต้น และใช้ย่าฆ่ามด


วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ ขจัดเครียด

ฝึกหายใจ: นั่งลงและเอนหลังกับพนักเก้าอี้ในท่าสบาย สูดหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ วิธีนี้จะสามารถขจัดความเครียดออกไปได้

นวดฝ่าเท้า : ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนฝ่าเท้า แล้วนวดคลึงเบาๆ เพื่อคลายเส้นที่ปวดตึง โดยไล่จากส้นเท้าไปจนถึงปุ่มโคนหัวแม่เท้า แล้วจึงค่อยนวดวนออกไปด้านนอกฝ่าเท้า

น้ำช่วยได้ : แค่น้ำเปล่าเย็นๆ หรือน้ำส้มคั้นสดๆ จากตู้เย็นเพียงหนึ่งแก้ว ก็สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายในยามเครียดได้อย่างประหลาด

กลิ่นหอมขจัดเครียด:น้ำมันหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นที่เรารู้จักคุ้นหูกันดีในนามของ Aromatherapy สามารถช่วยคลายเครียดได้ เพียงเทน้ำมันหอมลงบนฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับ ก็จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง

ขจัดความเมื่อยขบให้ลำตัว :เมื่อ ความเครียดรุมเร้าจะปวดไหล่ หลังและคอ ลองเปลี่ยนอิริยาบทง่ายๆ โดยขยับตัวออกมานั่งตรงส่วนปลายของเก้าอี้ วางเท้าลงที่พื้นในท่าสบาย

จากนั้นวางมือขวาที่ต้นขาซ้าย แล้วเอื้อมมือซ้ายไปจับที่พนักเก้าอี้เหนือไหล่ขวา บิดตัวไปทางซ้ายช้าๆ จนสุด พร้อมเป่าลมออกจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหมุนตัวกลับไปในท่าตรง แล้วค่อยๆ ปล่อยลมออกทางปาก จนกลับมาอยู่ในท่าตรง สลับทำแบบเดียวกันด้านขวาและทำหลายๆ รอบ

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

แอปเปิ้ลช่วยดับกลิ่น



แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ทานแล้วมีประโยชน์มากมาย วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์อีกอย่างของแอปเปิ้ลมาบอกกัน...


ทราบหรือไม่ว่า แอปเปิ้ลมีประโยชน์ในการช่วยดับกลิ่น คือ นำไปวางไว้ในครัวในห้องรับแขกก็จะช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ แล้วเมื่อเวลากินอาหารที่มีกลิ่นแรง ๆ อย่างเช่น กระเทียมหรือของหมักดอง ก็ให้รับประทานแอปเปิ้ลตามเข้าไปสักหนึ่งเสี้ยว แค่นี้ กลิ่นเหม็นก็จะหายไป เพราะแอปเปิ้ล มีสารบางอย่างที่สามารถเข้าไปทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปาก รวมถึงแอปเปิ้ลที่เข้าไปอยู่ในกระเพาะจะช่วยทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีก ด้วย


รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมทานแอปเปิ้ลหลังอาหาร จะได้ไม่มีกลิ่น.

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ไอศกรีมซันเด มีอะไรเกี่ยวข้องกับ วันอาทิตย์



ไอศกรีมโซดามีจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1874 ในรัฐฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว


คำว่า "ซันเด" (sundae) ในไอศกรีมซันเด บิดมาจากคำว่า "ซันเดย์" (Sunday) วันอาทิตย์

เนื่องจากขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านการดื่มสุราในช่วงทศวรรษ 1880-1889 ถือว่าน้ำโซดาเกี่ยวโยงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลายเมืองในภาคตะวันตกตอนกลางถึงกับออกกฏหมายห้ามจำหน่ายไอศกรีมโซดาในวันอาทิตย์
บรรดา เจ้าของร้านขายไอศกรีมและน้ำโซดาหัวใสที่ไม่ต้องการเสียรายได้งาม ๆ ในวันที่ขายดีที่สุดในรอบสัปดาห์ จึงคิดวิธีการที่ง่ายที่สุดเพื่อเลี่ยงกฏหมายที่ "เหลวไหล" นี้ โดยไม่ต้องเติมโซดาลงในไอศกรีมโซดา เติมแต่น้ำเชื่อมรสต่าง ๆ ลงบนไอศกรีมแทน ไอศกรีมสูตรใหม่ที่ เสิร์ฟในวันอาทิตย์นี้ให้ชื่ออย่างเหมาะเจาะว่า "a sunday" ต่อมาเปลี่ยนอักษรตัว y ให้ชื่อเป็นอักษร e เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากโบสถ์


ดูเหมือนว่าไอศกรีมสูตรใหม่ได้กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จเกินคาด
ทุกวันนี้ไอศกรีมซันเดเป็นที่นิยมรับประทานกันมากกว่าไอศกรีมโซดาเสียอีก.

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี



สำหรับสาวหุ่นผมบาง (เกินไป) ที่อยากเพิ่มน้ำหนัก ให้มีเนื้อหนังมากกว่าเดิม เรามีคำแนะนำมาฝาก

เริ่มจาก การแบ่งมื้ออาหารให้ถี่ขึ้น แทนที่จะกินอาหาร 3 มื้อหลัก ให้แบ่งเป็น 5 -6 มื้อต่อวัน

-เลือกกินคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ขนมปังโฮลวีต หรือคาร์โบไฮเดรตจากผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโพด เผือก และมันอบ

-เน้นรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา โดยเฉพาะปลานึ่ง

- ดื่มน้ำผลไม้ เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจนเกินไป วิธีนี้ช่วยเพิ่มแคลอรี่อีกทางหนึ่ง

-ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เพราะจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ

เพียงเท่านี้น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นแบบไม่เสียสุขภาพแน่นอน

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

วันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม


ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ความเป็นมา
ใน อดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวัน ขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ทาง ราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้ เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อ มาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป

เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ

1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย


กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่

1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

* วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรม
วันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะ มีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย