วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คิดยังไงให้เป็น "คนเก่ง"

หลายๆ ครั้งที่ได้เห็นคนเก่งๆ หรือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ พูดถึงแรงบันดาลใจในการคิดการทำสิ่งต่างๆ แล้วรู้สึกทึ่งในแนวความคิดที่แตกต่างจนทำให้สิ่งที่ทำนั้นประสบความสำเร็จ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครต่อใครอีกหลายๆ คน

สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาเหล่านั้นมีพื้นฐานความคิดยังไง และมีวิธีคิดยังไงให้เกิดความแตกต่างและประสบความสำเร็จได้ ... ถ้าคุณอยากเป็นคนเก่งและมีความคิดที่สร้างสรรค์ล่ะก็ วันนี้เรามีวิธีคิดที่จะทำให้คุณ เป็นคนเก่งได้มาฝากกันค่ะ

คิดบวกและเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง
การมองโลกในแง่ดี และตั้งใจทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ด้วยความสดใสเบิกบานกับชีวิต และกระตือรือล้นกับสิ่งใหม่ๆ จะทำให้เราพร้อมที่จะยอมรับกับเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมั่นใจ และเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี

ความผิดพลาดคือครูของเรา
เราจะต้องรู้จักเปิดใจ และมองทุกอย่างตามความเป็นจริง ต้องรู้จักกลับมาคิดทบทวนว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เกิดจากจุดไหนบ้าง เพื่อที่จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ดีกว่าเดิม และไม่ผิดพลาดในจุดเดิม

อย่าทิ้งสิ่งที่ฝัน
ท่องจำให้ขึ้นใจว่าถ้าหากคิดจะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ต้องสร้างแรงผลักดันให้ตัวเองทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จให้ได้

มีไอดอลในหัวใจ
การมีไอดอลจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจและมีแนวทางในการคิด การทำสิ่งต่างๆ และนำจุดเด่นในตัวของไอดอลของเรามาเป็นแรงผลักดันให้เราทำตามความฝันได้

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


วันที่ 23 ตุลาคม 2553 ถือเป็นวันสำคัญและเป็นปีที่พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศพร้อมใจกันรำลึก 100 ปี แห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ปวงชนชาวไทยต่างถวายพระนามพระ องค์ว่า “พระปิยมหาราช” อันหมายถึงพระราชาผู้เป็น ที่รักของประชาชน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง ใหญ่ต่อปวงชนชาวไทย ทรงให้อิสรภาพแก่ประชาชนผู้ทนทุกข์ ยากแค้นลำเค็ญ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลิกทาส และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์ทรงนำเทคโนโลยีสมัยใหม่พร้อมสาธารณูปโภคนานัปการ อาทิ รถไฟ ไฟฟ้า และกิจการประปา ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และเป็นการยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิตให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศมาใช้ ทำให้ชาวต่างชาติ ซึ่งแต่เดิมจะไม่พำนักอยู่ในประเทศไทยนานนัก เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็จะเดินทางกลับทันที เนื่องจากความเป็นอยู่ไม่สะดวกสบายเหมือนในบ้านเมืองเขา โดยเฉพาะน้ำดื่ม น้ำใช้ไม่สะอาดพอ เพราะใช้น้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เมื่อมีไฟฟ้า น้ำประปาแล้ว ชาวต่างประเทศก็เดินทางเข้ามาติดต่อทำการค้ากันมากขึ้น ประเทศไทยหรือประเทศสยามในเวลานั้น จึงเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว


กิจการประปาเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์เสด็จประพาส ต่างประเทศทั้งยุโรป รัสเซีย สเปน อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีน้ำประปาใช้แล้ว ส่วนใหญ่กิจการประปาจะเป็นของเอกชน เมื่อพระองค์สนพระราชหฤทัย และมีพระราชดำริ ที่จะจัดสร้างระบบประปา ในกรุงเทพฯ ได้มีฝรั่งชาว ต่างชาติหลายรายเสนอตัวที่จะเป็นผู้ลงทุนผลิตน้ำประปาเพื่อจำหน่ายในเขตพระ นคร โดยอ้างว่าจะได้ไม่เปลืองงบประมาณแผ่นดิน และค่าน้ำก็จะคิดในอัตราหนึ่ง และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไม่เกินลูกบาศก์เมตรละหกสลึง (1.50 บาท) แต่เมื่อพระองค์ ทรงไตร่ตรอง และหารือกับ บรรดาเหล่าเสนาบดีแล้ว พระองค์ทรงเกรงว่าหากให้เอกชนต่างชาติรับไปดำเนินการเสียแล้ว ประชาชนคนไทยผู้ใช้บริการอาจได้รับความ เดือดร้อนจากการขึ้นค่าน้ำ ของฝรั่งก็เป็นได้ จึงได้ตัดสิน พระทัยให้กรมสุขาภิบาลเป็น ผู้ดำเนินการจัดหาน้ำสะอาดมาใช้ในพระนคร โดย พระองค์ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเป็นทุนประเดิม และเอกชนได้ร่วมสมทบ เป็นเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านบาทเศษในสมัยนั้น

กิจการประปาเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างในปี 2452 ตั้งแต่มีการจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างโรงกรองสามเสน (ปัจจุบันคือโรงงานผลิตน้ำสามเสน) ขุดคลองส่งน้ำจากบริเวณคลองเชียงรากมาถึงโรงกรองสามเสน การขุดฝังวางท่อจ่ายน้ำทั่วพระนคร สร้างถังสูงสำหรับช่วยเพิ่มแรงดันในการส่งน้ำไปบริการ ประชาชน (ถังสูง 2 ใบนี้ ยังคงอยู่ที่สี่แยกแม้นศรี ถนน บำรุงเมือง กทม.)

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2457 พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯทรงเป็นประธานเปิดกิจการ “การประปากรุงเทพฯ” ด้วยพระองค์เอง อันมีเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงนครบาล เป็นผู้กล่าวรายงาน และพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบ ตอนหนึ่งว่า “การใหญ่ของการประปาอันเป็นของค้างมาครั้งรัชกาลแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้มาทำสำเร็จไปโดยเร็วใน รัชสมัยของเราเช่นนี้ เป็นเครื่องเชิดชูเกียรติเรา ใน การที่มีของสำคัญขึ้นสำหรับพระนครและเป็นการสมควรอยู่แล้วที่จะต้องแสดงให้ ปรากฏว่าการนี้ สมเด็จพระบรมชนกนารถของเราเป็นผู้ ริเริ่มดำริ กับสมควรนับเป็นอนุสาวรีย์ของพระองค์ส่วนหนึ่งได้เหมือนกัน” และอีกตอนหนึ่งว่า “ขอน้ำใสอันจะหลั่งไหลจากประปานี้ จงเป็นเครื่องประหารสรรพโรคร้าย ที่จะเบียดเบียนให้ร้ายแก่ประชาชนผู้เป็นพสกนิกร ของเรา” นี่คือที่มาของ “น้ำประปาดื่มได้” ดื่มแล้ว ปลอดภัยไร้โรคา พยาธิ นับ ตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการมาจนถึง ทุกวันนี้

ในสมัยนั้น กรุงเทพฯ มีประชากรเพียง 330,000 คน อาศัยอยู่ฝั่งกรุงเทพฯ 280,000 คน อยู่ฝั่งธนบุรี 50,000 คน เมื่อเปิดกิจการระยะแรกมีผู้ใช้น้ำเพียง 400 คน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 คน ในปี 2465 อัตราค่าน้ำ 25 สตางค์ต่อลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ผลิตน้ำวันละ 10,000 ลบ.ม. และสูงสุด 13,000 ลบ.ม. ในช่วงฤดูแล้ง ในด้านคุณภาพน้ำ จะมีเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลมาตรวจคุณภาพน้ำประปา โดยตรวจแบคทีเรียทุกวัน ตรวจด้านเคมีทุกเดือน (ตั้งแต่ปี 2464) ปรากฏว่าไม่พบแบคทีเรีย และปลอดภัยจากสารพิษ จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยเรามีน้ำประปาที่สะอาดได้มาตรฐานเช่นเดียวกับนานา อารยประเทศ ยืนยันได้จากข้อเขียนของ Mr.Fernand Didier วิศวกรชาวฝรั่งเศส ที่ได้เข้ามาทำงานในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นผู้บริหารกิจการประปากรุงเทพฯ ในยุคแรก เขาเขียนระบุในหนังสือ The Bangkok Water Supply Descrip- tion Of The Works For Supplying The Siamese Capital With Portable Water ว่า “น้ำประปา กรุงเทพฯ เป็นน้ำสะอาด ไม่แพ้เมืองใด ๆ ในโลก”

หลังจากปี 2529 เป็นต้นมา กิจการประปาสามารถพัฒนาและดำเนินงานก้าวหน้าไปตามโครงการแผนหลักอย่างต่อ เนื่อง มีการขยายกำลังการผลิตและจ่ายน้ำที่เป็นไปตามแผน สามารถเพิ่มผู้ใช้น้ำได้ถึงปีละ 8-9% ทุกปี ในขณะเดียวกัน การประปานครหลวงได้เริ่มจัดทำโครงการประปา ฝั่งตะวันตกเมื่อปี 2530 เพื่อ รองรับการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ของชุมชนทางด้านฝั่งธนบุรีและนนทบุรี และประการสำคัญเพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบแห่งใหม่สำรองจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่มี อยู่เพียงแห่งเดียวและปริมาณน้ำเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงได้ก่อสร้างโรงกรองน้ำมหาสวัสดิ์ และขุดคลองประปาสายใหม่ ขึ้นเพื่อรับน้ำจากแม่น้ำแม่กลองในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีปริมาณน้ำมากและมีคุณภาพดีในระยะแรกได้ขุดคลองประปาสายใหม่ไปถึงแม่ น้ำท่าจีนและขุดต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรีรวมความยาว 106 กม. แล้วเสร็จเมื่อปี 2545

วันเวลาล่วงเลยมา 96 ปี วันนี้การประปากรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อใหม่ว่า การประปานครหลวง ยังคงปฏิบัติภารกิจที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ ผลิต น้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคและบริโภค สำหรับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล ในปริมาณที่เพียง พอและทั่วถึง ปัจจุบันการ ประปานครหลวงมีลูกค้าเกือบ 2,000,000 ราย (คิดเป็นผู้ ใช้น้ำประมาณ 10,000,000 คน) ผลิตน้ำจ่ายวันละกว่า 5,000,000 ลบ.ม.


ในโอกาสครบรอบ 96 ปี กิจการประปากรุงเทพฯ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 นี้ การประปานครหลวงได้จัดกิจกรรม “วันประปาเพื่อประชาชน” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ โดยพนักงานและลูกจ้างกว่า 3,000 คน ร่วมใจกันออกให้บริการประชาชน อาทิ รับคำร้อง ยกย้ายมิเตอร์ บริการตรวจ ซ่อมท่อแตกรั่วภาย ในบ้าน ทุกกิจกรรมที่บริการประชาชน ในวันนั้น ฟรี! เพราะเป็น “วันประปาเพื่อประชาชน” ดั่งพระราชประสงค์ของ ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ผู้ พระราชทานความสุขให้กับ ปวงชนชาวไทยมาจวบจน ทุกวันนี้

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติหม้อหุงข้าว





หม้อหุงข้าว เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับหุงข้าว เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น หม้อหุงข้าวที่เก่าแก่ที่สุด เรียกว่า คามาโดะ มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโคฟุน ค.ศ. 300-710 คามาโดะเป็นเตาดินเสริมด้วยอิฐหักเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อความร้อน ใช้ฟืนในการหุงต้ม นอกจากใช้หุงข้าวแล้วก็ยังนำมาต้มซุปถั่ว แต่เคลื่อนย้ายไม่ได้ ต่อมาสมัยนารา-เฮอัน ราวปี ค.ศ.710-794 หม้อหุงข้าวพัฒนามาเป็น โอกิ-คามาโดะ สร้างขึ้นให้ใช้งานกลางแจ้ง และมีภาชนะแยกส่วนสำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่าฮากามะ สำหรับหย่อนลงในหลุมที่ด้านล่างมีกองฟืนสำหรับหุงต้ม ภายหลังมีการประดิษฐ์ภาชนะบรรจุข้าวสำหรับหุงโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นทรงรีทำด้วยโลหะ เรียกว่า โอกามา เรียกหม้อหุงข้าวชนิดนี้ว่า มูชิ-คามาโดะ


เริ่มมีการทดลองผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ในช่วงปลายยุคสมัยไตโช กลางทศวรรษ 1920 ต่อมาปลายทศวรรษ 1940 บริษัทมิตซูบิชิ อิเลคทริก ผลิตหม้อหุงข้าวที่มีหม้อและขดลวดนำความร้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับหม้อหุงข้าวในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สะดวกสบายนัก ยังไม่มีระบบอัตโนมัติ ภายหลังบริษัทมัตซูชิตะและโซนี่ผลิตหม้อหุงข้าวออกจำหน่าย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สตรีญี่ปุ่นต้องใช้แรงงานในการสงครามด้วย ความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการหุงข้าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 10 ธันวาคม 1956 บริษัทโตชิบานำหม้อหุงข้าวอัตโนมัติออกวางจำหน่าย 700 ใบ ประสบความสำเร็จมาก โตชิบาเริ่มผลิตหม้อหุงข้าวอีก 200,000 ใบ ในเวลาเพียง 1 เดือน อีก 4 ปี ต่อมาหม้อหุงข้าวเริ่มแพร่หลายไปเกือบครึ่งประเทศ หม้อหุงข้าวของโตชิบานี้ใช้เวลาเพียง 20 นาที มี 2 ชั้น ชั้นนอกสำหรับบรรจุน้ำ ส่วนชั้นในสำหรับบรรจุข้าว รูปแบบนี้ใช้อยู่นานถึง 9 ปี จึงเปลี่ยนพัฒนามาเป็นหม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารต้องห้าม ขณะท้องว่าง

อาหารต้องห้ามอย่างที่ 1 คือ นมและนมถั่วเหลือง


เพราะนมที่อุดมไปด้วยโปรตีนจะเกิดประสิทธิภาพมาก เมื่อกระเพาะอาหารมีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย



อาหารต้องห้ามอย่างที่ 2 คือ กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณแมกนีเซียมในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ




อาหารต้องห้ามอย่างที่ 3 คือ ของหวานรวมถึงน้ำอัดลมและช็อกโกแลต

เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนโลหิตและไต




อาหารต้องห้ามอย่างที่ 4 คือ ชา

เพราะน้ำชาแก่ทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง




อาหารต้องห้ามอย่างที่ 5 คือ กระเทียม


เพราะกระเทียมมีฤทธิ์ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบรุนแรงได้


วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เทียนไขมีความเป็นมาอย่างไร




ในบรรดาสิ่งที่นำมาใช้เพื่อความสว่างในบ้านเรือน (ก่อนยุคอิเล็กทรอนิกส์) แล้ว เทียนไขเกิดขึ้นทีหลังสุด เรื่องราวของมันเริ่มปรากฏในเอกสารของชาวโรมันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑ ซึ่งชาวโรมันบันทึกไว้ว่า เป็นประดิษฐกรรมชิ้นใหม่ที่ใช้แทนตะเกียงน้ำมันได้

เทียนไขในยุคนั้นทำจากไขสัตว์และพืชซึ่งไม่มีสีและรสชาติ แต่รับประทานได้ ทหารในกองทัพที่อดอยากจะได้รับปันเทียนไขเป็นอาหาร
และหลายร้อยปีต่อมาการรับประทานเทียนไขก็เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ดูแลประภาคาร ซึ่งมักจะอยู่โดดเดี่ยวครั้งละนาน ๆ อีกด้วย

ปัญหาของเทียนไขในยุคก่อนคือ
การตัดไส้เทียน แม้จะเป็นเทียนไขที่มีราคาแพงมากก็ยังจำเป็นต้องตัดไส้เทียนทิ้งทุกครึ่งชั่วโมง การตัดไส้เทียนคือการค่อย ๆ ขริบเอาส่วนที่ไหม้ออกโดยไม่ทำให้เทียนดับถ้าไม่ตัดจะทำให้เทียนไขไม่สว่างเท่าทีควรและยังเปลืองเนื้อเทียนอีกด้วย คือเนื้อเทียนจะถูกใช้ไปในการเผาไหม้เพียงร้อยละ ๕ ที่เหลือจะละลายหมด และแม้จะมีการตัดไส้เทียน แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีเทียนไขจำนวน ๘ แท่งหนักประมาณ ๑ ปอนด์จะหมดไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ปราสาทหลังหนึ่ง ๆ ใช้เทียนไขสัปดาห์ละหลายร้อยเล่มและมี 'เจ้าพนักงานตัดไส้เทียน' โดยเฉพาะอีกด้วย

การตัดไส้เทียนต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ นักกฎหมายชาวสก็อตซึ่งเป็นผู้เขียนอัตชีวประวัติของซามูเอล จอห์นสัน ที่ชื่อเจมส์ บอสเวล เคยต้องตัดไส้เทียนเองหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จสักครั้ง ในปี ๒๓๓๖ เขาเขียนถึงเรื่องนี้ว่า “ผมยอมจะนั่งอยู่ทั้งคืนเพื่อตัดไส้เทียนให้ได้ จนประมาณตีสองผมพลาดไปดับเทียนเข้า...แล้วก็ไม่สามารถจุดมันขึ้นใหม่ได้"


การจุดเทียนไขโดยที่สิ่งให้แสงสว่าง ๆ อื่น ๆ ดับหมดทั่วบ้านแล้วเป็นงานที่ต้องใช้เวลาอย่างมาก เนื่องจากยังไม่มีใครคิดค้นไม้ขีดไฟขึ้นได้ ใครที่เคยอ่านหรือดูเรื่องดอนกีโฮเต คงจำความหงุดหงิดของพระเอกเซอว์วานเตสขณะจุดเทียนไขจากไฟในเศษถ่านได้ดี นอกจากนี้การตัดไส้เทียนมักทำให้เทียนดับ จนคำว่า 'snuff’ ซึ่งแปลว่า 'ตัดไส้เทียน' ได้เพี้ยนความหมายกลายเป็น 'extinguish' หรือ 'ดับไฟ' ไป

กระทั่งในศตวรรษที่ ๑๗ คณะละครจะต้องมีเด็กคอยทำหน้าที่ตัดไส้เทียน (snuff boy) โดยถือว่าการตัดไส้เทียนเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเด็กที่ทำหน้าที่นี้ต้องเดินขึ้นไปบนเวทีขณะที่ละครกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพื่อตัดไส้เทียนอย่างประณีตและชำนาญ ไม่ทำให้เปลวไฟแกว่งดับ หรือสะดุด อันจะรบกวนความรู้สึกของผู้ชมซึ่งกำลังสนใจและเคลิ้มไปกับเรื่องราวการแสดงบนเวทีอยู่ ถ้างานสำเร็จลุล่วงด้วยดี เขาจะได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมหนึ่งรอบเฉกเช่นนักแสดงคนหนึ่งศิลปะการตัดไส้เทียนหมดลงใน
ปลายศตวรรษที่ ๑๗ เมื่อมีการใช้เทียนขี้ผึ้งกันอย่างแพร่หลาย เทียนขี้ผึ้งมีราคาแพงกว่าเทียนไขถึงสามเท่า แต่ให้ความสว่างมากกว่า และเนื้อขี้ผึ้งระเหยได้บ้าง ซามูเอล เป๊ปปีส์ ชาวอังกฤษ ได้บันทึกไว้ในปี พ.ศ. ๒๒๑๐ ถึงการใช้เทียนขี้ผึ้งในโรงละคร ดรูรี เลน เธียเตอร์ ในลอนดอนว่า “เดี๋ยวนี้โรงละครสว่างขึ้นเป็นพันเท่าและดูสวยกว่าด้วย”

นอกจากนั้นผู้ที่มีฐานะร่ำรวยจะใช้เทียนขี้ผึ้งประดับบ้านในโอกาสพิเศษที่ต้องการความหรูหรา มีบันทึกระบุว่าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งในอังกฤษใช้เทียนขี้ผึ้งมากกว่าหนึ่งร้อยปอนด์ในหนึ่งเดือนในช่วงฤดูหนาวของปี พ.ศ. ๒๓๐๘

บันทึกถึงเทียนไขขอผ่านช่วงสมัยปัจจุบันไปแสดงความยินดีกับวิวัฒนาการของมันในศตวรรษหน้า เมื่ออังกฤษคิดประดิษฐ์เทียนขี้ผึ้งสีขาวเป็นมัน อเมริกากำลังทำเทียนไขสีเขียวกลิ่นเบเบอรี่

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติเอเชียนเกมส์



ประวัติ

เอเชียนเกมส์ (Asian Games) เป็นมหกรรมกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชีย โดยจะจัดการแข่งขันทุกๆ 4 ปี กีฬาเอเชียนเกมส์ถือกำเนิดมาจากการจัดแข่งขันกีฬา "แชมเปี้ยนแห่งภาคตะวันออกไกล" (Far Eastern Championship Games) โดยบุคคลกลุ่มหนึ่งในภาคพื้นเอเชีย แต่การแข่งขันก็ได้เลิกราไปด้วยสภาพปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจในขณะนั้น ต่อมาปี พ.ศ. 2490 การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศในภาคพื้นเอเชียภายใต้ชื่อของการแข่งขันว่าก็ได้เกิดขึ้น "เอเชียนเกมส์" ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของ ดร.จี. ดี. สนธิ (Dr.G.D.Sondhi) คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศอินเดีย ทั้งนี้โดยมีความเห็นว่า จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกทุกครั้งที่ผ่านมา ประเทศในแถบเอเชียมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันน้อยมาก เนื่องจากนักกีฬาเอเชียมีความเสียเปรียบนักกีฬาจากประเทศยุโรปและอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือมาตรฐานการกีฬา จึงคิดที่จะยกระดับมาตรฐานการกีฬาของประเทศในกลุ่มเอเชียให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับนักกีฬาในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะประการสำคัญที่สุดคือสานสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศในภาคพื้นเอเชีย เนื่องจากในช่วงเวลานั้นประเทศในกลุ่มเอเชียหลายประเทศ มีความแตกต่างกันในทางเศรษฐกิจและความคิดเห็นทางการเมือง


กระทั่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2491 จึงสามารถจัดตั้ง สหพันธ์กีฬาแห่งเอเชีย ได้ด้วยความร่วมมือกันของ

อินเดีย จีน เกาหลี พม่า ฟิลิปปินส์และศรีลังกา ตามมาด้วยประเทศในกลุ่มเอเชียอื่นๆ อีก ในปี พ.ศ.2492 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วม สังเกตการณ์เป็นครั้งแรก เอเชียนเกมส์ จึงถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการนับ แต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมกับกำหนดการแข่งขันทุกๆ 4 ปี ในช่วงกึ่งกลางของกีฬาโอลิมปิก โดยให้ทุก ประเทศผลัดกันเป็นเจ้าภาพตามลำดับตัวอักษร และถึงแม้ไทยจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกช้ากว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็น่าภูมิใจไม่น้อยที่ไทยได้รับเลือกให้เป็น เจ้าภาพมากที่สุดถึง 4 ครั้งจากการจัดการแข่งขัน ทั้งหมด 15 ครั้ง



สำหรับเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 จัดขึ้นที่กว่างโจว ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 12 - 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


*โลโก้ เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งนี้ได้แนวคิดมาจากสัตว์สัญลักษณ์ที่ด้านบนจะเป็นรูปแพะ ถัดลงมาดูแล้วเหมือนสายน้ำนั้นก็คือ แม่น้ำจูเจียง แม่น้ำสายสำคัญของกว่างโจว แล้วล่างสุดก็จะเป็นเหมือนลู่วิ่ง



วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

"Let's Have A Tea Break"



การพักดื่มน้ำชาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวอังกฤษมากว่า 200 ปี จากเรื่องราวของคนทำงานที่ต้องเริ่มงานกันตั้งแต่ตี 5 หรือ 6 โมงเช้า ซึ่งกว่าจะถึงเวลาพักกลางวัน พนักงานก็เริ่มหิวแล้วดังนั้น นายจ้างจึงอนุญาตให้พักในช่วงสายๆได้ โดยมีการเสิร์ฟทั้งอาหารและน้ำชาให้แก่พนักงาน นอกจากนี้นายจ้างบางรายก็ได้จัดให้มีการพักดื่มน้ำชาในตอนบ่ายอีกช่วงหนึ่งด้วย


"ความเป็นธรรมเนียมแบบดั้งเดิมของความรื่นรมย์


กับหลากหลายช่วงเวลาพักร้อนกับชาอังกฤษ


ก็หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าช่วงเวลาการดื่ม


ก็ยังมีชื่อเรียกช่วงเวลานั้นๆ แตกต่างกันไป"




Breakfast Tea

อาหารเช้าในแบบฉบับของอังกฤษนั้นประกอบด้วย น้ำผลไม้สด เบคอน ไข่ข้าวโพดอบกรอบ ปลา สลัด และขนมปังปิ้ง ผู้คนให้ความสำคัญกับการกินอาหารเช้าและพวกเขยังต้องการชาที่มีรสเข้มข้นเพื่อนดื่มด้วยกันกับอาหารเช้าอีกด้วย



Early Morning Tea

ชาช่วงนี้จะเป็นชาที่หรูที่สุดขณะยังดื่มอยู่บนที่นอน มันเป็นเหมือนกับเสียงปลุกในตอนเช้าที่ถูกยกมาเสิร์ฟถึงเตียงนอน เพื่อเป็นการปลุกขึ้นมาจากการหลับไหล และเพื่อเป็นการแน่ใจว่าคุณจะม่เผลอหลับอีก ชาในช่วงนี้จะมีความเข้มข้นมาก และเสิร์ฟพร้อมกับนม โดยทั่วไปสามารถรื่นรมย์กับการดื่มชาไปพร้อมๆกับการอ่านหนังสือพิมพ์ในตอนเช้า เพื่อการเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น มันไม่เพียงแค่การปลุกขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังทำให้มีช่วงเวลาที่สบายๆอีกด้วย



Elevenses Tea

ผู้คนจะเร่มดินชาในช่วงประมาณ 11 นาฬิกาในช่วงเช้า เพื่อเป็นการช่วยกระต้นให้ทำงานได้ต่อไปจนถึงเวลาอาหารเที่ยง โดยปกติจะใช้กับช่วงเวลาการเบรกกินชาช่วงนี้ประมาณ10 - 15 นาที การพักกินชาช่วงนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยเป็นธรรมเนียมที่พวกขุนนางชั้นสูงดื่มชาชนิดนี้เพื่อความบันเทิง ในขณะที่เหล่าคนรับใช้กำลังแต่งตัวให้พวกเขาจากที่พวกเขาเพิ่งลุกจากที่นอน



Afternoon Tea

ชายามบ่ายเป็นชาอังกฤษที่ผู้คนมักจะดื่มในช่วงบ่ายระหว่างเวลาประมาณ 15.00 - 17.00 นาฬิกาโดยจะเสิร์ฟพร้อมกับแซนวิช สโคน และเค้ก เพื่อให้อยู่ท้องไปจนกระทั่งก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ ในประเพณีดั้งเดิมของการสังสรรค์ยามบ่ายที่จัดขึ้นโดยชนชั้นสูงนั้น ผู้คนส่วนมากจะคาดหวังว่า ผู้จัดหรือเจ้าบ้านจะต้องมีรสนิยมที่ดี เช่น ห้องที่มีการตกแต่งที่สวยงาม ชาและอาหารมีคุณภาพสูง รวมถึงเจ้าบ้านที่ให้ความบันเทิงรื่นรมย์กับแขกที่มาด้วยการพูดคุยสนุกสนานและน่าสนใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากของวัฒนธรรมการดื่มชาในแบบของอังกฤษซึ่งมีอยู่ทุกครัวเรือน



High Tea

เป็นชาที่มีอยู่ในกลุ่มคนทำงานที่มักจะดื่มชา High Tea พร้อมกับอาหารมื้อค่ำกับครอบครัวในช่วงเวลาประมาณ 19.00 - 20.00 นาฬิกา คำว่า High Tea ได้ถูกเรียกขึ้นมาจากความสูงของโต๊ะอาหาร โดยหลักๆแล้ว High Tea มีไว้สำหรับบ้านที่ไม่ได้มีห้องอาหารที่แยกออกมาจากห้องนั่งเล่น แต่พวกเขาก็มีใจที่สามารถจะรื่นรมย์ไปกับการดื่มชาในแบบของตัวเอง



Night Tea

ชาในช่วงนี้ เป็นชาสำหรับช่วงเวลาสบายๆ หลังจากเสร็จอาหารมื้อค่ำ สามารถที่จะดื่มก่อนเข้านอน หรือขณะที่เขียนไดอารี่ โดยอาจจะเติมเหล้าหรือบรั่นดีเล็กน้อยในชา เพื่อให้หลับสบายขึ้นได้เช่นกัน

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

5 วิธียืดตัวให้สูง




1. กระโดดเชือก 600 ครั้ง หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เช้า - เย็น)
ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมา ก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด) ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน


2. ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวไม่เพียงอุดมไปด้วยแคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น
แต่ยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้นหรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง
เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการสูงขึ้น


3. นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืนและนอนให้เพียงพอ
*(เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)


4. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่


5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์ และ น้ำอัดลม งดสูบบุรี่ เท่าที่จะเป็นไปได้

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก *



ซีแลนด์
ซีแลนด์เป็นประเทศในทะเลเหนือ อยู่ห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร (ประมาณ 6 ไมล์ทะเล) เมืองหลวงคือซีแลนด์ (กินเนื้อที่ทั้งหมดของประเทศ) ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เพลงประจำชาติคือ E mare libertas ("เสรีภาพจากท้องทะเล" เป็นคำขวัญประจำชาติด้วย) หน่วยเงินคือซีแลนด์ดอลล่าร์ (SXD, SX$ หนึ่งดอลล่าร์สหรัฐมีค่าเท่ากับหนึ่งดอลล่าร์ซีแลนด์) มีเนื้อที่ 0.000207 ตารางกิโลเมตร (207 ตารางเมตร)ประชากร 4 คน


ซีแลนด์ประกอบไปด้วยฐานซึ่งฝังอยู่ใต้ทะเล เสาทรงกลมขนาดใหญ่สองต้น และดาดฟ้า ในส่วนเสากลมแบ่งเป็นเด็ค 7 ชั้น (A-G) ชั้น A คือดาดฟ้าและเป็นที่วางเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชั้น B อยู่เหนือทะเล ส่วน C-G อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ในสมัยสงคราม ชั้น B-E เคยถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงอาหารและที่พัก ชั้น F เป็นคลังอาวุธ และชั้น G เป็นที่เก็บของอื่นๆ



ธงชาติของซีแลนด์



แต่เดิมซีแลนด์ก็คือหนึ่งในสี่ป้อมกลางทะเล (HM Fort Roughs หรือเรียกกันว่า Rough Towers) ที่อังกฤษสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1944 นั่นเอง ในระหว่างสงคราม เคยมีทหารประจำการอยู่ที่นี่ประมาณ 150-300 นาย หากเมื่อสงครามจบลง ป้อมก็ถูกทิ้งให้ร้างไปตั้งแต่ปี 1956


วันที่ 2 กันยายน 1967 แพดดี้ รอย เบทส์ อดีตเรือโทประจำกองทัพเรืออังกฤษซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุเถื่อน ได้ประกาศให้ป้อมกลางทะเลดังกล่าวแยกตัวเป็นอิสระจากเขตแดนของอังกฤษ และตั้งชื่อประเทศว่าซีแลนด์ รวมทั้งตั้งตัวเองเป็นเจ้าชายรอย เบทส์ หรือเรียกอีกชื่อว่า Roy of Sealand


ประชากรของซีแลนด์ในตอนนี้ประกอบไปด้วย เจ้าชายรอย เบทส์, เจ้าหญิงโจน เบทส์, เจ้าฟ้าชายไมเคิ่ล และทหารอีกหนึ่งคน (ทหารคนนี้กับปืนไรเฟิ่ลหนึ่งกระบอกถือเป็นกองกำลังประจำเพียงหนึ่งเดียวของประเทศ) หากในสถานการณ์คับขัน เจ้าชายรอย เบทส์ยืนยันว่าเขาสามารถรวบรวมกำลังทหารมาได้จากทั่วโลก (ทหารรับจ้าง?)) รายได้หลักคือการขายตำแหน่งขุนนาง เหรียญที่ระลึกและแสตมป์ ทั้งยังมีการตั้งบริษัทฮาเว่นโคซึ่งให้บริการฝากฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตอีกด้วย (จ่ายเพียง 16 ยูโร (ประมาณ 790 บาท) คุณก็จะกลายเป็นลอร์ดหรือเลดี้ของซีแลนด์ได้ในทันที

ซีแลนด์มีประชากรเพียง 4 คนก็จริง แต่มีทีมฟุตบอลประจำชาติอยู่ด้วย หากเนื่องจากไม่ได้เข้าร่วม FIFA หรือ UEFA จึงไม่สามารถลงแข่งในการแข่งขันอย่างเป็นทางการได้ นอกจากนี้ยังเคยส่งนักกีฬาไปร่วมการแข่งขันต่างๆหลายครั้ง (เคยได้เหรียญเงินสองเหรียญจากการแข่งกังฟูระดับโลกที่แคนาดาในปี 2007)

9 โรคร้าย ที่มากับ น้ำท่วม หลังน้ำท่วม

1.โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อราและแผลพุพองเป็นหนอง
ซึ่งเกิดจากการย่ำน้ำหรือแช่น้ำที่มีเชื้อโรคหรืออับชื้นจากเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่ไม่สะอาดเป็นเวลานาน โดยจะมีอาการเท้าเปื่อย เป็นหนอง และเริ่มคันตามซอกนิ้วเท้า ผิวหนังลอกเป็นขุย จากนั้นผิวหนังจะพุพอง นิ้วเท้าหนาและแตก มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนคือผิวหนังอักเสบ

ป้องกันได้ด้วยการเช็ดเท้าให้แห้ง หากมีบาดแผลควรใช้แอลกอฮอล์เช็ดแล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ


2. โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส
ติดต่อได้ทุกเพศทุกวัย แพร่กระจายในลมหายใจ เสมหะ น้ำลาย อาการมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ไอจาม อ่อนเพลีย
ป้องกันได้ด้วยใช้ผ้าปิดปากเวลาไอจาม ดื่มน้ำอุ่นมากๆ มีไข้สูงเกิน 7 วันควรพบแพทย์



3.โรคปอดบวมเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอด
เช่น น้ำสกปรกจนทำให้เกิดการอักเสบ อาการไข้สูง ไอมาก หอบหายใจเร็ว เห็นชายโครงบุ๋ม ริมผีปากซีดหรือเขียวคล้ำ กระสับกระส่ายหรือซึม
หากมีอาการควรรีบพบแพทย์


4.โรคตาแดง
ติดต่อได้ง่ายในเด็กเล็กแต่เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจมีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ อาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 1 – 2 วัน จะมีอาการระคายเคือง ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง ทั้งนี้ในหากดูแลถูกวิธีจะหายได้ใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดูแลอาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น กระจกตาดำอักเสบ
ทั้งนี้ป้องกันได้ด้วยล้างดวงตาให้สะอาดเมื่อถูกฝุ่นละออง หมั่นล้างมือบ่อยๆ ไม่ควรขยี้ตา



5.โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายจากการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารค้างคืนหรือเน่าบูด แบ่งออกเป็นหลายโรค ได้แก่ โรคอุจาระร่วง อาการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ อาจมีมูกเลือดและมีการอาเจียนร่วมด้วย อหิวาตกโรค จะถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำซาวข้าวทีละมากๆ อาการรุนแรง


อาหารเป็นพิษ มักมีอาการปวดท้องร่วมกับการถ่ายอุจาระเหลว คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการปวดศีรษะและเมื่อยเนื้อตัวร่วมด้วย โรคบิด จะถ่ายอุจจาระมีมูกหรือเลือดปน มีไข้ ปวดท้องและมีปวดเบ่งร่วมด้วย โรคไข้ทัยฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย มีอาการสำคัญคือมีไข้ เบื่ออาหาร ท้องผูก เมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ


ป้องกันได้โดยล้างมือให้สะอาด เลือกรับประทานอาหาร กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน แต่หากป่วยจำเป็นต้องดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมากๆ รวมทั้งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) ด้วย



6.โรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส
เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน มีหนูเป็นตัวแพร่โรคที่สำคัญ เชื้อออกมากับปัสสาวะสัตว์แล้วปนเปื้อนในน้ำท่วมขัง โดยโรคนี้จะติดต่อทางบาดแผล รอยขีดข่วน หรือไชเข้าตามเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนานๆ อาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 4 – 10 วัน จะมีไข้สูงทันที ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง และศีรษะมาก บางรายมีอาการตาแดง เจ็บคอ เบื่ออาหาร ท้องเดินร่วมด้วย จำเป็นต้องรีบพบแพทย์ มิเช่นนั้นอาจถึงขั้นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตามสามารถป้องกันได้โดยสมรองเท้าบู๊ทยางกันน้ำ ทำความสะอาดที่พักไม่ให้เป็นแหล่งอาศัยของหนู



7.โรคไข้เลือดออก
มียุงลายเป็นพาหะพบได้ทุกวัยในทุกพื้นที่ มีอาการไข้สูงตลอดทั้งวัน หน้าแดง เกิดจุดแดงๆ เล็กๆ ตามลำตัว ต่อมาไข้จะลดลง ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะอาจเกิดอาการรุนแรง มีความผิดปกติ เช่น ถ่ายดำ ไอปนเลือด เกิดภาวะช็อคและเสียชีวิตได้
ทั้งนี้การรักษาห้ามใช้ยาแอสไพริน และระวังไม่ให้ถูกยุงกัด



8.โรคหัด
เป็นโรคไข้ออกผื่นที่พบในเด็ก เกิดจากเชื้อไวรัส มักพบในฤดูฝน หากมีการแทรกซ้อนอาจเสียชีวิตได้ สำหรับการติดต่อผ่านทางการไอจาม เชื้อกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย อาการหลังจากได้รับเชื้อ 8 – 12 วัน มีไข้ ตาแดง พบจุดขาวๆ เล็กๆ ในกระพุ้งแก้ม
ป้องกันได้โดยฉีดวัคซีน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย



9.โรคไข้มาลาเรีย
ติดต่อโดยยุงก้นปล่องเป็นพาหะนำเชื้อโรค มักพบในพื้นที่ป่าเขามีแหล่งน้ำจืดธรรมชาติ อาการหลังรับเชื้อ 7 – 10 วัน จะปวดศีรษะ โดยทั่วไปคล้ายไข้หวัด แต่หลังจากนั้นจะหนาวสั่นและไข้สูงตลอดเวลา อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
ป้องกันโดยหลีกเลี่ยงยุงด้วยการทายาหรือสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด

วิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอน


- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว

- ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ

- นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง
เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

- เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ

- อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

- ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตา
ปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น

- ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ
ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

- ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง
เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้หลับสบายตลอดคืนแล้ว.

10 เหตุผลดีๆ ที่อาจทำให้เราลดกินเนื้อสัตว์

1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่ม อร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ


2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ


3. ข้อเสื่อม เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม


4. ก้าวร้าวรุนแรง คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น


5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน


6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข


7. ผิวพรรณสดใส
เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี


8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงและยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ


9. สมองไบร์ท เมื่อร่างกายสดใสระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้นสมองไบท์ขึ้น


10. ร่างกายต้านสารพิษ
การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผักผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์