วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คุณประโยชน์ของเครื่องเทศ




แต่เครื่องเทศยังมีประโยชน์อื่นอยู่อีก โดยเฉพาะกับผู้ชายซึ่งมีวิถีชีวิตที่เสี่ยงต่อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความอ้วน ความดัน โรคตับ และโรคหัวใจ รวมถึงปัญหา สมรรถภาพทางเพศ ซึ่งต่อไปนี้คือประโยชน์ของเครื่องเทศต่อปัญหาเหล่านี้

ผงยี่หร่า
มีประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ชายที่ต้องการฟิตร่างกาย โดยจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กอยู่จำนวนมาก ซึ่งช่วยเพิ่ม hemoglobin ในเลือดที่จะทำให้มีความทนทานในการออกกำลังกายมากขึ้น รวมถึงช่วยเสริมความจำอีกด้วย นี่ก็จะทำให้คุณไม่มีปัญหาเรื่องลืมวันเกิดแฟนอีกต่อไป

Capsaicin
เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เนื่องจาก Capsaicin ก็คือสารที่ทำให้พริกเผ็ดนั่นเอง ประโยชน์จากสารนี้ก็คือเป็นสารเพิ่มกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งช่วยร่างกายในการเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้ยังทำให้คุณแข็งแรงราวกับม้าหนุ่มด้วยการเพิ่มอัตราการเต้นของ หัวใจ กระตุ้นปลายประสาทและการหลั่ง endorphins

พริกไทยดำ
มีสารที่ช่วยลดการเกิดก๊าซในระบบทางเดินอาหารซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องอืด ที่จะทำให้คุณต้องเรอออกมา นอกจากนี้ผิวของเม็ดพริกไทยยังช่วยให้เซลล์ไขมันแตกตัวได้ง่ายอีกด้วยขิง

จากการศึกษาเมื่อปี 2003 พบว่าสาร gingerol ในขิงสามารถชะลอการ เติบโตของเซลล์มะเร็งในมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ลดอาการโรคลำไส้แปรปรวนที่จะทำให้คุณปวดท้องเวลาเครียดหรือตื่นเต้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการดูดซึม LDL cholesterol ซึ่ง เป็น cholesterol ชนิดไม่ดีอีกด้วย


ขมิ้น
เป็นเรื่อง ปกติที่ผู้ชายหลายคนชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งขมิ้นจะช่วยเสริมความสามารถในการทำลายสารพิษของตับ และยังช่วยลด cholesterol ซึ่งจะส่งผลให้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย

อบเชย
สาร cinnamaldehyde ในอบเชยมีผลในการป้องกันลิ่มเลือดและลดการอักเสบ และประโยชน์ของอบเชยไม่ได้มาจากการกินเท่านั้น เพราะกลิ่นของมันยังช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมและเส้นใยอาหารซึ่งมีประโยชน์ต่อกระดูกและการขับถ่าย

วานิลลา
น้ำมันหอมระเหยในวานิลลา ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน testosterone และ estrogen ซึ่ง ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ และวานิลลายังมีสาร vanillin ซึ่งเป็น antioxidants และ anticarcinogenic ที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง ซึ่งมีประโยชน์มากโดยเฉพาะกับผู้สูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังมี vanilloid ที่มีความสามารถแบบเดียวกับ capsaicin ในการช่วยลดความเครียดอีกด้วย

อาการ "ปวดหัว"


เวลานี้ไปทางไหนก็มักจะได้ยินคนบ่น "ปวดหัว" กันบ่อยๆ ยิ่งตอนนี้โลกเรา บ้านเมืองเราก็มีแต่เรื่องชวนให้เครียดจนถึงขั้นปวดหัว

เริ่มตั้งแต่เครียดเรื่องในบ้านในครอบครัว เครียดเรื่องชาวบ้าน เครียดกับปัญหาต่างๆ ของประเทศ ไปจนถึงเครียดกับภาวะวิกฤติของโลก ซึ่งความเครียดจากสิ่งรอบตัวเหล่านี้ก็มีผลทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ แต่บางคนนอกจากเครียดแล้วอาจปวดจากไมเกรน บางคนก็ปวดหัวจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น ร้อนจัดเกินไป หรือบางคนก็ตรากตรำทำงานจนปวดเมื่อยต้นคอร้าวขึ้นไปที่หัว

อาการปวดเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรงอะไร ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ก็ได้ บางคนแค่นอนพัก หากิจกรรมคลายเครียด นวดคลายเส้น หรือถ้าปวดมากก็ใช้ยาแก้ปวดธรรมดาก็หายแล้ว แต่บางคนก็ปวดจนต้องไปพบแพทย์เพราะกลัวจะเป็นโรคร้ายแรง บางคนคิดมากกลัวจะเกิดความผิดปกติกับสมอง คิดอย่างนี้ก็เครียดก็ปวดกันไปใหญ่ แต่อย่างน้อยการไปพบแพทย์ก็จะได้มีคนช่วยบอกว่า ปวดจากสาเหตุใด ร้ายแรงแค่ไหน และต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ก็ถือว่าได้ความสบายใจ และได้ยาแก้ปวดแถมมาด้วย

บางคนอาจสงสัยว่า "แล้วปวดหัวแบบไหนบ้างที่ต้องไปพบแพทย์"

อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการต่อไปนี้จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

1. คัดจมูก น้ำมูกข้นสีเหลืองหรือเขียว ไอ เจ็บคอ มีเสมหะในคอ บ่งว่าอาจเป็นไซนัสอักเสบ
2. ปวดกระบอกตา ตามัวลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นต้อหินหรือเส้นประสาทตาอักเสบ
3. หูอื้อ ปวดในหูมาก บางคนมีหูตึงด้วย อาจเกิดจากหูชั้นกลางอักเสบ
4. ปวดหัวแบบเฉียบพลัน ปวดแบบรุนแรง อาเจียน ไม่เคยเป็นมาก่อน
5. ปวดหัวและมีความผิดปกติอื่น เช่น สับสน ซึมลง ชาตามตัว ชักเกร็ง แขนขาอ่อนแรง บ่งว่ามีความผิดปกติของสมอง

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเลิกทาสในประเทศไทย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง

ทรงเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมราชสมภพเมื่อ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา


พระองค์ทรงปกครองอาณาประชา ราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน


สมัย ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป



ในปี พุทธศักราช ๒๔๑๗ โปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส


ตลอด รัชกาลได้ทรงพระราชกาลได้ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสหลายฉบับ ออกบังคับใช้ในมณฑลต่างๆ ให้ลูกทาสเป็นไท ประกาศประมวลกฎหมายลักษณะอาญากำหนดบทลงโทษแก่ผู้ซื้อขายทาสให้มีความผิดเช่น เดียวกับโจรปล้นทรัพย์ ทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเจ้านายและขุนนางในการบำเพ็ญกุศลด้วยการบริจาค พระราชทัรพย์ไถ่ถอนทาสพร้อม พระราชทานที่ทำกินเป็นผลให้ระบบทาสที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี ก็ได้ถูกยกเลิกไปจนหมดสิ้น ด้วยพระราชหฤทัยแน่วแน่และทรงพระราชอุตสาหะ เป็นเวลาถึง ๓๐ ปีก็ทรง ก็ทรงเลิกทาสสำเร็จในพุทธศักราช ๒๔๔๘ สมตามพระราชปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้

พระราชกรณียกิจสำคัญนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของพลเมืองจากทาสมาเป็นสามัญชน มีอิสรภาพทางสังคมเท่าเทียมกัน โดย กำหนดเอาไว้ว่าลูกทาสที่เกิดแต่ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๔๑๑ อันเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ให้ใช้อัตราค่าตัวเสียใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พออายุครบ ๘ ปี ก็ให้ตีค่าออกมาให้เต็มตัว จนกว่าจะครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้กลับเป็นไทแก่ตัว เมื่อก้าวพันเป็นอิสระแล้วห้ามกลับมาเป็นทาสอีก ทรงพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้คนขายตัวเป็นทาส จึงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ย และขยายระบบการศึกษาให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้นในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศเพราะ เหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยนั้นได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป

กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลดต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท

แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่าเมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง

ประเทศไทยนั้นมีการใช้ทาสมาเป็นเวลานานเพื่อใช้ทำกิจการต่างๆ ในบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์ พระองค์ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ด้วยทรงพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชการเกี่ยวกับเรื่องทาส พระองค์ทรงคิดหาวิธีจะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม ทำตามลำดับขั้นตอน

ข้าทาสและไพร่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย พอถึงปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 (พ.ศ.2448)

เลิกเรื่องลูกทาส
ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด
เด็กที่เกิดจากทาส
ไม่เป็นทาสอีกต่อไปการซื้อขายทาส
เป็นโทษทางอาญา
ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้วให้นายเงิน
ลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

และนี่ก็เป็นพระมหากรุณาทิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน รัชกาลที่๕ที่ทรงให้มีการเลิกทาสนับตั้งแต่นั้นมา ภายหลังประกาศเลิกทาสจนเป็นอิสระภาพ ทั้งนี้การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า สมเด็จพระปิยมหาราช

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โลกร้อน สาเหตุ 10 ปรากฏการณ์ประหลาด


จากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดทั่วโลก ตัวอย่าง 10 ปรากฏการณ์ประหลาด

1. สารภูมิแพ้แพร่ระบาด
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวอเมริกันต้องประสบกับอาการไอ จาม เป็นภูมิแพ้ และหอบหืดง่ายและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่จากการศึกษาพบว่า วิถีชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปเพราะสภาพมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ขณะที่งานวิจัยใหม่ๆได้แสดงข้อมูลว่า โลกร้อนขึ้นและมีระดับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น ทำให้พืชพรรณผลิใบเร็วกว่าเดิม บวกกับปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายในอากาศ ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้ไวขึ้น

2. สัตว์อพยพไร้ที่อยู่
สัตว์หลายชนิดต้องอพยพขึ้นที่สูง เช่น หมีขั้วโลก เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้มันไม่สามารถอยู่ในอาร์กติกขั้วโลกเหนือได้

3. พืชขั้วโลกคืนชีพ
เนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้พืชที่อาจเคยถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ เริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตอีกครั้ง

4. ทะเลสาบหายสาบสูญ
มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มีทะเลสาบประมาณ 125 แห่งหายสาบสูญจากอาร์กติก เพราะ เพอร์มาฟรอส ที่เป็นน้ำแข็ง แข็วตัวอยู่ใต้ทะเลสาบนั้นละลายหมด ทำให้น้ำในทะเลซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้

5. น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย
จากภาวะโลกร้อนได้ทำให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน โดยผลที่อาจเกิดตามมาคือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็นรูรั่วใต้ดิน ทำให้สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่เหนือจุดดังกล่าวอาจได้รับความเสียหาย

6. ไฟป่า
เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เพราะสภาพป่าที่แห้งกว่าเดิมจึงนับเป็นเชื้อไฟได้เป็นอย่างดี

7. ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงอยู่รอด
จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือฤดูหนาวที่สั้นลง ตรงข้ามกับฤดูร้อนที่มาถึงเร็วขึ้น ทำให้บรรดาฝูงนกเกิดปัญหาในการปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพที่ผันแปรไปไม่ทัน ทำให้สัตว์ที่สามารถอยู่รอดได้นั้นต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด และสัตว์ที่อยู่รอดได้อาจต้องกลายพันธุ์หรือปรับพันธุกรรมใหม่ เพื่อรับมือภัยที่เกิดขึ้น

8. ดาวเทียมโคจรเร็วขึ้นกว่าเดิม
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ได้ขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น ทำให้ดาวเทียมที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิม

9. ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก
ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งกำลังขยายตัวสูงขึ้น ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่และทำหน้าที่เหมือนตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับในฐานล่างของภูเขาทรุดลงไปใต้พื้นผิว เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขาละลายหายไป ส่วนฐานล่างที่เคยจมอยู่ก็จะค่อยๆ กระเด้งคืนมาเหนือผิวโลก

10. โบราณสถานเสียหาย
เพราะอากาศที่แปรปรวน ภัยธรรมชาติประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้แก่โบราณสถาน เมืองเก่า ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ตัวอย่างโบราณสถานในจังหวัดสุโขทัย และอยุธยาที่เจอกับภัยน้ำท่วมใหญ่

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

● หอเอนปิซ่า ... ณ กรุงโรม ●



หอเอนปีซ่า อยู่ที่เมืองปีซ่า ประเทศอิตาลี เป็นหอคอยสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น เริ่มสร้าง ค.ศ. 1174 แล้วเสร็จปี ค.ศ. 1350 รวมเวลาการก่อสร้างถึง 176 ปี

ตามประวัติกล่าวว่า ขณะก่อสร้างเสร็จฐานทรดไปข้างหนึ่ง จะเป็นด้วยการคำนวณผิดพลาดหรือประการใดก็ไม่ทราบ เมื่อวัดปรากฏว่า เอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 18 ฟุต แต่กระนั้นก็ยังไม่ล้ม ยังเอียงอยู่จนถึงทุกวันนี้

หอคอยหินอ่อนแห่งนี้ ภายในวิจิตรงดงามด้วย เสาหินอ่อนที่สลักลายฝีมือของจิตรกรชื่อดังแห่งยุค ทำให้เป็นหอที่ทรงคุรค่าทาง ศิลปะอย่างยิ่ง

หอคอยแห่งนี้ในยุคนั้น กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์ชื่อดังของโลกได้ทำการทดลองน้ำหนักของวัตถุ และกฏแห่งแรงดึงดูดของโลกเป็นผลสำเร็จ

กาลิเลโอ เป็นบุคคลที่น่าศึกษามาก เขาเกิดที่เมืองปีซ่า ที่ตั้งหอเอนเขาเกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1561 ชอบวิชาคณิตศาสตร์มาก แต่บิดาบังคับให้เรียนวิชาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยปีซ่า ซึ่งการเรียนของเขานี้ ปรากฏว่า เขามักซ่อนความคิดของ "อาคีมีดีส" นักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของโลก เมื่อไปดูการบรรยายเสมอ

เขาใช้ชีวิตอย่างนักวิทยาศาสตร์ เชื่อมั่นในเหตุผลของตัวเขาเอง ไม่ยอมเชื่อตำราหรือคำพูดของใครเป็นอันขาด แม้จะถูกลงโทษอย่างไร เขาก็ยืนยันในความถูกต้องในความคิดของเขา ซึ่งขัดแย้งกับความรู้เก่า และยังดำเนินชีวิตขัดกับประเพณีนิยมด้วย เขาสอนความรู้ของเขาให้คนอื่นเชื่อตาม โดยขัดแย้งกับความรู้ ความคิดเห็นของครูบาอาจารย์ จนกระทั่งในที่สุดเขาถูกขับออกจากมหาวิทยาลัยปีซ่า

อย่างไรก็ตาม กาลิเลโอยังคงต่อสู้ต่อไปโดย เข้าสอนในมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ซึ่งให้ความอิสระทั้งด้านความคิดการทดลอง และการค้นคว้าของเขามหาวิทยาลัยแห่งนี้ชื่อมหาวิทยาลัยปาดัว ซึ่งยุคแห่งวานิชได้แต่ตั้งให้เขาเป็นศาสตราจารย์แห่งปาดัวตลอดชีวิต

ตั้งแแต่นั้นมาเขามอบชีวิตให้แก่การค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เขาได้สร้างสโมสรของวงการวิทยาศาสตร์และปรัชญา ได้เปิดเผยผลแห่งการสังเกตการณ์และผลหารทดลองของเขา โดยให้สมาชิกรู้ความลับของแม่เหล็ก และแรงแม่เหล็กของโลก เขาได้อธิบายถึงส่วนประกอบของเข็มทิศ ซึ่งเขาพึ่งประดิษฐ์ขึ้น เขาได้แสดงเครื่องกลสูบน้ำ วิธีการวัดอุณหภมิของอากาศ และเครื่องประดิษฐกรรมที่ประหลาดที่สุด ทำให้สมาชิกซึ่งตื่นเต้นอยู่แล้วในผลงานของเขาต้องตื้นเต้นยิ่งขึ้น นั่นคือ กล้องโทรทัศน์สำหรับดูดาวซึ่งอยู่แสนไกล

เจ้ากล้องประหลาดนี่เองเป็นสิ่งแรกที่จูงไป พบจุดจบด้วยยาพิษ ทั้งๆที่ไข้กำลังจับ นอนอยู่บนเตียง นั่นคือต่อมาเขาฉีกสัญญาที่ทำ ไว้กับมหาวิทยาลัยปาดัว โดยประสงค์จะกลับไปปีซ่า ซึ่งครั้งหนึ่งที่นั่นเคยไล่ เข้าออก แต่ปัจจุบันบางที่เขาคิดว่า คงจะนำเอาความมีชัยเกียรติยศอันสูงส่งที่มีอยู่ไปแพร่ก็ได้ที่สุด เขาก็ได้กลับไปสมประสงค์ แต่เมื่อเขาเข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัยปีซ่า อาราจักรแห่งความเชื่อถือลัทธินิยม เขาได้รับสิ่งที่ไม่ขาดคิดไว้เลย เขาต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยาก เรื่องลัทธิและปราศจากความเป็นอิสระ จนกระทั่งต้องถูกเรียกตัวไปสาบานต่อหน้าคณะกรรมการศาสนา และ ถูกประกาศห้ามนำหนังสือที่เขาเขียนขึ้น อันเกี่ยวกับการคัดค้านศาสนาความเชื่องมงายออกเผยแพร่และท้ายที่สุด เขาถูกจำคุกอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนักของเขาที่เดียว