วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตำนานหมากฝรั่ง


ตำนานหมากฝรั่ง เกิดจากนายพลอันโตนิโอ โลเปช เอ็กซ์ ซานตา อันนา แห่งกองทัพเม็กซิโก ซึ่งเดินทางมาอยู่ในอเมริกา และนำยางต้นไม้จากป่าในเม็กซิโกชื่อว่า ยางชิคลิ (chicli) มาด้วย ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่พวกอาซเท็ก
ต่อมาเมื่อเดือนก.พ. ปี 2414 โทมัส อดัมส์ นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ เห็นว่าหมากฝรั่งที่นายพลซานตาเคี้ยวน่าจะเป็นที่นิยม จึงวางแผนเปิดตลาดหมากฝรั่ง จนประสบความสำเร็จ โดยหมากฝรั่งยุคแรก ทำเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็น รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ขายราคาเม็ดละ 1 เพนนี และดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ
ต่อมาปี 2418 จอห์น คอลแกน เภสัชกร เติมรสชาติในหมากฝรั่งโดยใช้ตัวยาทางการแพทย์ คือขี้ผึ้งหอมทูโล ซึ่งทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ มีรสชาติหวานคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคร้อยกว่าปีก่อน พร้อมทั้งตั้งชื่อหมากฝรั่งชนิดนี้ว่า "แทฟฟี่-ทูโล" ทำให้หมากฝรั่งกลายเป็นที่นิยมขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้น นายโทมัส อดัมส์ เจ้าเก่าก็ผลิตหมากฝรั่งรสชะเอม หรือที่เรียกว่า "แบล็กแจ๊ก" เป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาดของอเมริกา
หลังจากนั้นปี 2423 นายวิลเลียม เจ.ไวต์ ผสมน้ำเชื่อมข้าวโพด และเติมรสด้วยเปเปอร์มินต์ ทำให้หมากฝรั่งซึ่งถูกตั้งชื่อว่า "รสเปเปอร์มินต์" และเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับหมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่ง สองพี่น้อง แฟรงก์ และ เฮนรี ฟลีเออร์ เป็นผู้คิดค้นขึ้นแต่ในช่วงแรกยังมีคุณภาพไม่ดีนัก เป่าแล้วแตก ติดหน้าเหนอะหนะ จนในปี 2471 วอลเตอร์ เดมเมอร์ นำมาพัฒนาต่อและสามารถเป่าได้โตกว่าเดิม 2 เท่า และตั้งชื่อให้หมากฝรั่งแบบใหม่ว่า "ดับเบิ้ล บับเบิ้ล" ซึ่งไม่ได้ทำมาจากยางไม้อย่างหมากฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่มซึ่งไม่มีรสและกลิ่น คนอเมริกันนิยมเคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้มาก
ปัจจุบัน หมากฝรั่งมีหลากหลายรสชาติ เช่น รสมินต์ ทำให้ลมหายใจสดชื่น รสเลมอน ทำให้รู้สึกตื่นตัว หรือรสเปเปอร์มินต์ ที่ให้ความรู้สึกเย็น และยังมี "ลูกเล่น" ที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น บับเบิ้ลกัมพ์ (หมากฝรั่งที่ยืดหยุ่นได้ มีลักษณะเป่าแล้วเกิดฟอง) ลูกอมและหมากฝรั่งผสมที่มีลักษณะคล้ายอมยิ้ม
จากเดิมที่ใช้หมากฝรั่งช่วยระงับกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น ในปัจจุบัน มีพัฒนาให้สามารถปกป้องเหงือกและฟัน เช่น หมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลโดยมีสารให้ความหวานเทียมจากไซลิทอลหรือน้ำตาลแอลกอฮอล์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี หมากฝรั่งสำหรับลดการติดบุหรี่ ซึ่งช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่าความอร่อยอย่างเดียว

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โรคซน- สมาธิสั้น












กลุ่มอาการสมาธิสั้น เกิดจากความผิดปกติของสมอง โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนว่า
อะไรที่ทำให้สมองมีความผิดปกติ แต่จากวิทยาการและวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีผลพอ
พิสูจน์ได้ว่าน่าจะเป็นผลมาจากพันธุกรรม แต่ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนอย่างใดและมีการถ่าย
ทอดอย่างไร ยังไมีมีรายละเอียดที่ชัดเจน แต่มีผลต่อสมองทำให้การทำงานของสมองบาง
ส่วนเกิดการบกพร่อง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสมาธิของคนเรา ทำให้เกิด
การทำงานที่ไม่สัมพันธ์กันต่อระบบสั่งงานอื่นๆ อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ในอดีตมีชื่อเรียกเกี่ยวกับกลุ่มอาการเหล่านี้ได้ในหลายชื่อเช่น
Hyper Kinetic Disorders / Minimal Brain Abnormality / Minimal Brain Disfunction

แต่จากการศึกษาในปัจจุบันเรารวมเรียกกลุ่มอาการต่างรวมมาเป็น
Attention Defecit Hyperactivity Disorders (ADHD) หรือใน
บ้านเรานิยมเรียกว่า โรคเด็กไฮเปอร์


จากการทำการวิจัยสำรวจเด็กไทยในเขตกรุงเทพมหานครพบว่ามีเด็กในกลุ่มสมาธิสั้นประมาณ
ร้อยละ 5-10 ของเด็กวัยเรียนหรือประมาณ 2-3 คนในห้องเรียนขนาด 50 คน สำหรับในต่างประเทศ
พบได้ประมาณร้อยละ 3-15 ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและระบบการศึกษา

อาการที่สำคัญของเด็กกลุ่มสมาธิสั้นแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญุ่ๆคือ
1. อาการซนมากกว่าปกติ (Hyper Activity) ลักษณะความซนจะมากกว่าเด็กทั่วๆไป ซนแบบ
ไม่อยู่นิ่ง อยู่ไม่เป็นสุข ลุกลี่ลุกร้น ตลอดเวลา
2. อาการสมาธิสั้น สามารถสังเกตุได้โดยเด็กจะมีความวอกแวกง่าย แม้แต่สิ่งเร้าเล็กๆน้อยก็สามารถ
ทำให้เด็กเสียสมาธิได้แล้ว เข่น ในขณะที่เด็กกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ พอมีเสียงดังเบาๆเช่นเสียงของตก
พื้น หรือกิ่งไม้หล่นบนพื้น กลุ่มเด็กพวกนี้จะหันไปหาแหล่งต้นเสียงทันที หรือขณนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน
พอมีคนเดินผ่านก็จะหันไปดูโดยทันที เป็นลักษณะเป็นความไวต่อสิ่งเร้าภายนอกโดยผ่านทาง ตา / หู
นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากสิ่งเร้าภายในตัวของเด็กเอง ในกรณีนี้จะแสดงออกในลักษณะอาการเหม่อ
ลอย นั่งนิ่งๆ เป็นนระยะเวลานานๆ เหม่อบ่อย เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ต้านโรค ด้วยผลไม้


อาหารที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านโรค หาได้ง่ายในบ้านเรา แถมยังอร่อย น่ารับประทานด้วย เช่น ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรเลือกรับประทานผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อร่างกายได้รับวิตามิน และเกลือแร่อย่างเพียงพอ

อาหารที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านโรค หาได้ง่ายในบ้านเรา แถมยังอร่อย น่ารับประทานด้วย เช่น ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรเลือกรับประทานผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อร่างกายได้รับวิตามิน และเกลือแร่อย่างเพียงพอ เช่น
มะเฟือง มีกรดผลไม้สูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน
สับปะรด ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีกรดผลไม้และเอนไซม์ เช่น Bromelin ซึ่งช่วยในการย่อยโปรตีน

ทับทิม มีแคลเซียม ช่วยกำจัดสารพิษและช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล มีไนอาซินสูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญพลังงาน

ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินบี (ช่วยบำรุงประสาท)โปรวิตามินเอและแร่ธาตุต่างๆซึ่งจะให้พลังงานใหม่ๆ

กีวี เต็มไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม เกลือแร่จำเป็น และกากใย ซึ่งจะช่วยในการย่อยอาหารได้ดี

มะพร้าว มีวิตามินอีสูงซึ่งช่วยในการปกป้องเซลล์ และมีแมกนีเซียมซึ่งช่วยต้านความเครียด

ลิ้นจี่ เป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย มีกลุ่มวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงประสาท และแคลเซียม

มะม่วง มีสารอาหารที่ช่วยในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ นั่นคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก และช่วยในการย่อยอาหาร

เสาวรส มีวิตามินซีและบี 12 สูง (ช่วยให้จิตใจสงบ) รวมทั้งมีแคลเซียมและธาตุเหล็ก
แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีกากใยมาก ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีธาตุเหล็กสูงและมีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีฟอสฟอรัส
มะละกอ มีเอนไซม์มากมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญ มีวิตามินบี 2 วิตามินซี และโปรวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ

ส้มโอ เต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแคลเซียม

ลูกพลับ เต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีนและแคลเซียม

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พายเบอร์รี่ (Pineberry)


พายเบอร์รี่ (Pineberry) มีหน้าตา รูปร่างเหมือนราชินีแห่งผลไม้ "สตรอว์เบอร์รี่" แต่รสชาดกลับคลับคล้ายไปทาง "สับบปะรด" หรือ พายแอปเปิ้ลมากกว่า เลยทำให้เจ้าผลไม้น้องใหม่ถูกตั้งชื่อสุดเก๋ไก๋ว่า "พายเบอร์รี่" ซะเลย

จริงๆ แล้ว เจ้าผลไม้น้องใหม่ชนิดนี้ถูกค้นพบตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน แต่เพิ่งจะมาโด่งดังก็เมื่อซูเปอร์มาร็เก็ตระดับพรีเมียมในเครือเวตโทรส ตัดสินใจนำพายเบอร์รี่มาวางจำหน่ายในสาขาต่างๆ จำนวน 45 แห่ง ทั่วเกาะอังกฤษ

สำหรับพายเบอร์รี่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนสตรอว์เบอร์รี่ ต่างกันตรงที่พายเบอร์รี่นั้นมีสีขาว และมีเม็ดจิ๋วๆ สีแดงแทรกอยู่ไปทุกอณูผิว ส่วนสตรอว์เบอร์รี่มีผลสีแดงและมีเม็ดจิ๋วๆ สีดำแทรกอยู่ตามเนื้อแทน ส่วนรสชาติก็อย่างที่เกริ่นไว้ หากหลับตารับประทานเข้าไป จะนึกว่า กำลังเคี้ยวสับปะรดอยู่ ^^

ส่วน ถิ่นกำเนิดของพายเบอร์รี่นั้นมาจากอเมริกาใต้ โดยชาวนาเชื้อสายตัตช์กลุ่มหนึ่ง ได้ทดลองปลูกขึ้น และนำมาวางขายกันในตลาดท้องถิ่นเมื่อ 7 ปีก่อน ด้วยน่าตาน่ารัปประทาน และรสชาติยังคุ้นลิ้นกันดี จึงทำให้พายเบอร์รี่ได้รับความนิยมมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นผลไม้ขึ้นห้างเบอร์ล่าสุด ซึ่งมีการแบ่งขายหน่วยละ 125 กรัม ในราคา 2.99 ปอนด์ หรือ ราว 150 บาทจ้า

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ที่มาของชื่อเดือน ทั้ง 12 เดือน


สมัยก่อนปีหนึ่งๆ มี 355 วัน แต่มีแค่ 10 เดือน

March หรือ มีนาคม เป็นเดือนแรกของปี ก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งคำว่า March นั้นมีที่มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งสงครามที่ชื่อว่า Mars เนื่องจากว่าชาวโรมันน่ะทำสงครามกันบ่อยนั่นเอง
April หรือ เมษายน มาจากภาษาละตินที่มีความหมายว่า "เปิดรับ" เนื่องจากผลผลิตที่หว่านไปในช่วงเดือนมีนาคมจะมาได้ผลเดือนนี้

May หรือ พฤษภาคม มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งการเจริญเติบโต ที่มีชื่อว่า Maia เพราะพวกโรมันเชื่อว่า Maia จะช่วยคุ้มครองพืชพันธุ์ ให้เติบโตอุดมสมบูรณ์ดี

June หรือ มิถุนายม เป็นชื่อที่ตั้งเป็นเกียรติแก่เทพเจ้า Juno ราชินีแห่งสรวงสวรรค์และการแต่งงาน อาจเป็นได้ว่า ชาวโรมันแต่งงานกันมากในเดือนนี้ เพราะเป็นช่วงที่อุดมสมบูรณ์

July หรือ กรกฎาคม ไม่ได้ตั้งชื่อตามเทพเจ้าหรือฤดูกาล แต่มาจากชื่อของจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ Julius Caesar

August หรือ สิงหาคม ก็ตั้งชื่อตามหลานชายของ Julius ที่ชื่อ Caesar Augustus เพราะว่าเขาอยากมีชื่อเสียงเหมือน Julius บ้าง จึงตั้งชื่อเดือนนี้ โดยใช้ชื่อของเขา เดิมทีเดือนสิงหาคมมีแค่ 30 วันซึ่งน้อยกว่าเดือนของ Julius แต่ Augustus เพิ่มวันให้เดือนของตน โดยเอาวันจากเดือนกุมภาพันธ์มาหนึ่งวัน เพื่อให้ตนเท่าเทียมกัน Julius

September หรือ กันยายน มาจากคำภาษาละตินว่า Septem ซึ่งแปลว่า '7' และเดือนนี้ก็เป็นเดือนที่ 7
October หรือ ตุลาคม ก็มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่า '8' ซึ่งคือคำว่า Octo
November หรือ พฤศจิกายน ก็มาจากคำที่แปลว่า '9' คือคำว่า Novem นั่นเอง
December หรือ ธันวาคม ก็แน่นอนมาจากคำว่า Decem ที่แปลว่า '10' งัย
January หรือ มกราคม ถูกเพิ่มมาทีหลังพร้อมกับเดือน กุมภาพันธ์ คำว่า January มาจากชื่อของเทพเจ้า Janus ซึ่งเป็นเทพ 2 หน้า หน้าหนึ่งมองไปในอดีต อีกหน้ามองไปสู่อนาคต ซึ่งเป็นช่วงที่คนเราต้องมองย้อนสิ่งที่ตนทำ และมองไปข้างหน้าเฝ้ารอคอยปีใหม่
February หรือกุมภาพันธ์ มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่า 'ชะล้าง' ซึ่งเป็นเดือนที่คนต้องชะล้างตัวเองให้สะอาดรอรับปีใหม่....