วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

“โยเกิร์ต"


“โยเกิร์ต" เป็นอาหารที่หลายคนชอบกินและนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยความงามอาหารชนิดนี้มีความลับหลายอย่างซ่อนอยู่

1.ท้องเสีย ในโยเกิร์ตนั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราเกิด อาการท้องเสียได้ ดังนั้นการกินในเวลาที่ท้องเสียนั้นจึงสามารถทำให้หยุดถ่ายหรือถ่ายน้อยลง

2.โรคหัวใจ "คอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก" เป็นไขมันที่มีอยู่ในโยเกิร์ต ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
มีสารอาหารถึง 11 ชนิด!! การกินโยเกิร์ตเป็นประจำจะทำให้อายุยืนและแข็งแรงได้ นอกจากนี้ในโยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย ยังมีสารอาหารมากมาย อาทิ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปร*** วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 อีกด้วย

3.แคลเซียมสูงกรดแลกติกที่อยู่ในในโยเกิร์ตจะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ และนอกจากนี้อาหารชนิดนี้ยังมีโปร***และแคลเซียมมากกว่านมธรรมดาอีกด้วย

4.แลคโตบาสิลัส เป็นจุลินทรีย์ที่ร่างกายของเราต้องการ เพราะมันจะเข้าไปช่วยหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่จะทำให้เป็นโรคกระเพาะ ลดการอักแสบของลำไส้และไขข้อได้

5.รอบเดือน ในช่วงเวลาที่เป็นวันนั้นของเดือนควรที่จะกินโยเกิร์ตเป็นประจำ และจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารชนิดนี้ยังช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็งปาก มดลูกได้

6.ป้องกันโรคภัย เนื่องจากเป้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง จึงทำให้ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน , ความดันโลหิตสูง , มะเร็งลำไส้ และเป็นตัวกระตุ้นระบบเผาผลาญที่จะทำให้มีหุ่นที่ผอมเพรียว

7.ลดกลิ่นปาก การกินโยเกิร์ตเป็นการช่วยทำความสะอาดปาก และช่วยลดกลิ่นปากรวมถึงโรคเหงือกอีกด้วย

8.เพิ่มภูมิต้านทาน แบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น


โยเกิร์ตที่มีคุณค่าต่อร่างกายมากที่สุด คือ "โยเกิร์ตรสธรรมชาติ" ที่ไม่มีการแต่งกลิ่นหรือใส่น้ำตาลลงไป ซึ่งในช่วงแรกแรกของการกิน อาจจะไม่ปลื้มกับรสชาติของมันเท่าไหร่ ดังนั้นจึงลองหาผลไม้ที่ตัวเองชื่นชอบใส่ลงไปก็ได้ เพื่อเพิ่มเติมความอร่อยลงไป

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ที่มา.." อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ "

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (Victory Monument) เป็นอนุสาวรีย์ในกรุงเทพมหานคร โดยรอบเป็นวงเวียนอยู่กึ่งกลางระหว่างถนนพหลโยธิน ถนนราชวิถี และถนนพญาไท ตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 0.0 ถนนพหลโยธิน

อนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจและพลเรือนที่เสียชีวิตไปในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เรื่องการปรับปรุงพรมแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสซึ่งในครั้งนั้นมีผู้เสีย ชีวิต 59 คน พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484 และจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2485 สถาปนิกผู้ออกแบบอนุสาวรีย์คือ หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล

ก่อนที่จะมีการสร้างวงเวียนอนุสาวรีย์ บริเวณจุดตัดของถนนพญาไท ถนนราชวิถี และถนนพหลโยธิน นี้มีชื่อเรียกว่า "สี่แยกสนามเป้า"

นอก จากเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญ และเป็นที่จารึกรายนามทหารที่เสียชีวิต ในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (สงครามอินโดจีน) สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเกาหลีแล้ว ยังเป็นต้นทางของถนนพหลโยธิน รวมไปถึงศูนย์กลางการคมนาคมที่มีรถโดยสารให้บริการในหลายเส้นทาง เป็นจำนวนมาก ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า BTS และรถตู้ ผ่านตลอด 24 ชั่วโมง จึงทำให้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นชุมทางการคมนาคมที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบัน

ทั้งนี้อนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ ถือเป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของประเทศไทย ในขณะที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของกรุงเทพมหานครอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

เผยคณะฮิตปีนี้ ที่มาแรง !



จากผลการเก็บข้อมูลในโปรแกรมจำลองการเลือกคณะเอ็นทรานส์ใน www.eduzones.com

ซึ่งมีนักเรียนเข้าใช้โปรแกรมนี้วันละประมาณ5000คน

ปรากฏ ว่าในปีนี้นักเรียนแผนกศิลป์ ให้ความสนใจทดสอบเลือกคณะในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มากที่สุด ส่วนนักเรียนแผนกวิทย์ยังคงสนใจคณะวิศวะจุฬาฯ เป็นอันดับหนึ่งเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา

รายละเอียด ลำดับคณะที่ได้รับความสนใจมากที่สุด มีดังนี้คือ

อันดับ1 คณะพาณิชย์ฯ-บัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ2 คณะเศรษฐศาสตร์ (วิทย์-ศิลป์คำนวณ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ3 คณะพาณิชย์-บริหาร (วิทย์-ศิลป์คำนวณ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ4 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ5 คณะนิติศาสตร์ (ศิลป์คำนวณ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ6 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ7 คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ8 คณะวิศวกรรม-วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ9 คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ10 คณะเศรษฐฯ-เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์

อันดับ11 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ12 คณะ สหเวชฯ-เทคนิคการแพทย์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ 13 คณะวิศวกรรม-เคมี,คอม,เครื่องกล ฯลฯ(กลุ่มวิทยาเขตบางเขน) มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์

อันดับ14 คณะบริหาร-บัญชี(วิทย์) มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์

อันดับ15 คณะพาณิชย์-บัญชี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ16 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ17 คณะเทคนิคการแพทย์-เทคนิคฯ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่

อันดับ18 คณะอักษรศาสตร์(คณิต 2) จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

อันดับ19 คณะสหเวชฯ-เทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ20 คณะสังคมศาสตร์-การจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ

ส่วนคณะในมหาวิทยาลัยศิลปากรที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร-เทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ

และสองอันดับในมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ

คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่

และคณะ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดูแลฟัน-รักษาเหงือก


การดูแลฟัน และรักษาเหงือกนั้น ควรให้ความสำคัญกับการขจัดเศษอาหารเพื่อลดโอกาสให้คราบจุลินทรีย์ที่ มีลักษณะเป็นคราบเหนียว ๆ ทำปฏิกิริยากับเศษอาหาร เปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรด ทำลายผิวฟันจนเป็นรู เกิดฟันผุ หรือสึกกร่อนทั้งยังรวมตัวกับแคลเซียมในน้ำลายแล้วเกิดหินปูน เกาะคอฟันและผิวรากฟัน ส่งผลให้เหงือกอักเสบ

การทำความสะอาดฟันและเหงือกนั้นควรเริ่มจากใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดซอกฟัน ซึ่งมีประสิทธิภาพกว่าการใช้ไม้จิ้มฟันที่อาจทำให้เกิดช่องโหว่ในร่องเหงือกมากขึ้น โดยการใช้ไหมขัดฟันต้องระวังอย่าให้บาดเหงือก

จากนั้นจึงแปรงฟัน โดยเลือกแปรงขนนิ่ม เลี่ยงการใช้แปรงขนแข็ง เพราะฟันจะสึกกร่อน และแปรงในทิศทางที่ถูกต้อง คือ ขณะแปรงฟันบน ปัดแปรงลงล่าง เมื่อแปรงฟันล่าง ปัดแปรงขึ้นบน แทนการแปรงตามถนัดปัดขึ้น-ลงตามความสะดวกและรวดเร็ว แต่วิธีดังกล่าวจะทำให้เหงือกร่น ส่วนบริเวณซอกฟันสามารถใช้แปรงสีฟันเฉพาะที่ช่วยทำความสะอาดได้

หลังการแปรงฟันก็จะต้องอมน้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียได้ชั่วขณะ ดังนั้นหลังมื้ออาหาร ควรทำความสะอาดฟันและเหงือก หรืออย่างน้อย 2 ครั้ง ต่อวัน คือ หลังตื่นและก่อนเข้านอน.

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

รักษาดวงตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอม

"เคล็ดลับเพื่อตาคู่สวย"

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น อาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ
"ถนอมสายตา"

3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น

4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์

5. เบรกซะบ้าง ทุกๆชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า

6. เปลี่ยนจอใหม่ เลือกใช้จอชนิดLCD (จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

เติมออกซิเจนหลังหมดสติ



เกี่ยวเนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจ ที่อาจทำให้ผู้หมดสติขาดออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จึงนำสูตรเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการหมดสติแล้วได้รับการช่วย เหลือจากการทำ CPR พื่อดื่มฟอกโลหิต เพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ และเนื้อเยื่โดยต้องอาศัยคุณค่าของสารอาหารที่มีอยู่ใน มะนาว ส้ม บีตรูต แครอต ผักโขม และรากขิง

มะนาว เปี่ยม ไปด้วยวิตามินซี และกรดซิตริก เป็นอาหารชนิดเดียวในโลกที่มีประจุลบ สามารถปรับสภาพร่างกายให้มีความเป็นด่าง ทั้งยังช่วยให้ตับผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดี

ส่วน
ส้ม ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะคุณค่าจากเบตาแคโรทีน วิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์ สังกะสี โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส

สำหรับ บีทรูต มี วิตามินบี1 บี2 และบี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี ช่วยบำรุงรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง เสริมประสิทธิภาพการรับออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง และเพิ่มออกซิเจนให้แก่เซลล์ได้สงถึง 400 เปอร์เซ็นต์

ใน แครอท แหล่งรวมเบตาแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และคลอรีน ดีต่อระบบโลหิต และจำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ขณะที่ ผักโขม เปี่ยม คุณค่าที่ดีต่อตับ เลือด ถุงน้ำดี เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ คลอโรฟีลล์ เบตาแคโรทีน วิตามินบี6 วิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และโซเดียม แต่ก็ไม่ควรดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของผักโขมเกินกว่า 1 แก้วต่อสัปดาห์ เนื่องจากกรดอ็อกซาลิกที่มีอยู่ในผักโขมจะไปสกัดการดูดซึมแคลเซียม

ส่วน ขิง นั้น มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ มีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น สำหรับส่วนที่นำมาใช้ในเครื่องดื่ม คือ ราก ออกรสหวานเผ็ด ร้อนขม ขับเสมหะได้ดี

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

“กาลิเลโอ”


"กาลิเลโอ" ปราญช์ผู้เปิดฟ้า ให้โลกเห็นจักรวาลอันกว้างใหญ่

แม้ “กาลิเลโอ” ไม่ใช่คนแรกที่คิดค้นกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมา แต่เขาก็สร้างกล้องโทรทรรศน์ของเขาเองจากแนวคิดที่ได้ยินมา แล้วใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญสำรวจออกไปนอกโลกและได้เห็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ยิ่ง ไปกว่า “คำสอน” ที่ครอบงำความคิดของคนเมื่อ 400 ปีก่อน

กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) เป็นนักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์และนักปรัชญาชาวอิตาลี มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 2107-2185 เขาเกิดที่เมืองปีซา เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2107 ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักประพันธ์เพลงและนักดนตรีที่มีชื่อสียงคือ วินเซนโต กาลิเลอิ (Vincenzo Galilei) และมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน โดยเขาเป็นพี่ชายคนโต วงต้นของชีวิตกาลิเลโอที่มักได้รับการพูดถึง คือการสมัครเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปีซา (University of Pisa) ตามความปรารถนาของพ่อ แต่ภายหลังเขาได้เปลี่ยนไปเรียนคณิตศาสตร์จนจบการศึกษา และในปี 2133 เมื่ออายุได้ 26 ปีเขาได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นหัวภาควิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัย จากนั้นอีก 3 ปีเขาได้ย้ายไปสอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์และดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปาดัว (University of Padua)

เขาใช้เวลา 18 ปีทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยปาดัว ซึ่งในช่วงเวลานี้เขาได้สร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์มากมาย ทั้งการค้นพบในด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ ตัวอย่างเช่น กลศาสตร์ของการเคลื่อนที่และการค้นพบทางดาราศาสตร์ เป็นต้น และการค้นพบด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น เรื่องความแข็งแรงของวัสดุและการปรับปรุงคุณภาพของกล้องโทรทรรศน์ เป็นต้น

การปรับปรุงคุณภาพของกล้องโทรทรรศน์นี้เอง เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เขาได้ค้นพบทางดาราศาสตร์ที่สำคัญๆ หลายอย่าง ด้วยกำลังขยายของกล้องเพียงไม่กี่สิบเท่า ทำให้เขาได้มองเห็นความจริงบนท้องฟ้าที่ขัดแย้งกับความเชื่อและคำสอนของ ศาสนาจักรที่สืบทอดมานับพันปี และทำให้เขาถูกดำเนินคดีในฐานะบุคคลนอกรีตในที่สุด


ด้วยกล้องโทรทรรศน์ ทำให้กาลิเลโอพบว่ามีวัตถุเล็ก 4 วัตถุโคจรรอบดาวพฤหัสบดี พบปรากฏการณ์ข้างขึ้นข้างแรมของดาวศุกร์ ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ดาวศุกร์ต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ สิ่งที่เขาค้นพบจึงขัดแย้งกับคำสอนของศาสนจักรที่อ้างแนวคิดจักรวาลในแบบปโตเลมี (Ptolemaic model) ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล” และยังมีอีกหลายค้นพบที่คัดแย้งกับคำสอนของศาสนจักร

การค้นพบของกาลิเลโอ สอดคล้องกับทฤษฎีของ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ที่เสนอไว้ก่อนหน้านั้นว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล (heliocentric model) และทำให้โคเปอร์นิคัสต้องถูกขังคุก

เมื่อปี 2175 กาลิเลโอได้ตีพิมพ์หนังสือ “บทสนทนาว่าด้วยโลกหลักสองระบบ” (Dialogue Concerning the Two Chief World Systems) ซึ่งสนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส และแย้งความเชื่อที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางระบบสุริยะ แต่หนังสือดังกล่าวถูกสั่งห้ามเผยแพร่โดยศาสนจักร และอีก 2 ปีต่อเขาถูกดำเนินคดีโดยพระสันตปาปาด้วยข้อหาร้ายแรงว่าเป็นพวกนอกรีต และถูกตัดสินให้ถูกกักขังอยู่ในบ้านของตัวเอง

ในปี 2181 เขาจึงเขียนหนังสืออีกเล่มคือ “วาทกรรมและการพิสูจน์เชิงคณิตศาสตร์เกี่ยวกับสองศาสตร์ใหม่” (Discourses and Mathematical Demonstrations Relating to Two New Sciences) ซึ่งตีพิมพ์ในฮอลล์แลนด์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี และปีเดียวกันนี้ตาของเขาบอดได้สนิท แล้วยังต้องทุกข์ทรมานกับโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ อีก 4 ปีต่อมาเขาได้เสียชีวิตลงในบ้านที่กลายเป็นสถานที่จองจำเมื่อวันที่ 8 ม.ค.2185 รวมอายุได้ 78 ปี

วันนี้เรามาไกลจากความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลาง และเทคโนโลยีด้านอวกาศที่ก้าวหน้ามากขึ้นได้ทำให้เราได้เห็นข้อเท็จจริงที่ ว่า โลกเป็นเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ ราวผงฝุ่นในดาราจักรทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางดาราจักรอีกนับแสนนับล้านในเอกภพ.


วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

โรคของผิวที่เสื่อมเพราะแสง



ความเสื่อมสะสมของผิวจากการ ถูกแสงแดดที่แรงร้อนบ่อยครั้ง ทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณ เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส

ยิ่งในช่วงหน้าร้อน ซึ่งพื้นที่ของโลกบริเวณบ้านเราหันเข้าหาดวงอาทิตย์รับแสงยูวีเต็ม ๆ กันอย่างนี้ หากไม่ดูแลผิวพรรณเสียบ้าง ระวังจะเกิดปัญหาข้างต้น โดยสามารถแยกแยะออกเป็น

‘มะเร็งผิวหนัง’
นับว่าเป็นปัญหาผิวที่อันตรายที่สุด และจำเป็นต้องได้รับการรักษาเนื่อง จากเป็นเนื้อร้าย หากปล่อยไว้มีแต่จะลุกลามไปสู่ผิวหนังบริเวณอื่น ๆ แต่ก็ยังเป็นโชคดีของคนเอเชียที่มีผิวพรรณไม่ค่อยขาวเท่าไหร่ ลักษณะของผิวจึงแข็งแรงพอ ไม่เหมือนกับผิวขาว ๆ ของคนเอเชียบางชาติ อย่าง จีน ญี่ปุ่น ที่ใกล้เคียงกับชาวยุโรป เจ้าของผิวขาวบอบบางไวต่อแสงจึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่า

นอกจากนี้ยังมีปัญหา ‘กระเนื้อ’ มักจะพบในผู้สูงอายุ ผิวที่เป็นกระเนื้อจะมีลักษณะดำและนูน แต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่รักษาก็ไม่ก่อให้เกิดอันตราย เพียงแต่ดูไม่สวยงาม

ส่วนปัญหาฝ้า กระแดด ที่มีลักษณะเป็นปื้นหรือเป็นจุดสีน้ำตาล และรอยเหี่ยวย่น ก็นับรวมเป็นปัญหาผิวจากการถูกแสงแดด

โดยทั้งหมดสามารถแบ่งวิธีการรักษากว้าง ๆ ได้ 3 แบบ คือ

การใช้ยารักษา
ไม่ว่าจะเป็นยากินหรือยาทา

การทำพีลลิ่ง (Peeling) ลอกผิวด้วยสารเคมีหรือวิตามิน โดย 2 แบบแรก เหมาะกับการรักษาปัญหาผิวที่เกิดขึ้นกับชั้นผิวส่วนบน

ส่วนแบบสุดท้าย คือ การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งมีหลายกลุ่ม มีทั้งชนิดพลังงานต่ำ ที่รักษาแล้วไม่ทิ้งร่องรอย และชนิดพลังงานสูง ที่อาจทำให้เกิดรอยแดง หลังการรักษาสักระยะจึงจางหาย แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังต่ำหรือสูง เลเซอร์ก็สามารถเข้าไปแก้ปัญหาผิวที่อยู่ลึก ๆ ได้ โดยกลไกการรักษา เลเซอร์จะทำให้รอยดำแตกละเอียดเป็นเม็ดเล็ก ๆ จากนั้นเม็ดเลือดขาวก็จะเข้ามากำจัดออกไป

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

เว็บไซต์แห่งแรกของโลก

ทิม เบอร์เนอร์ส ลี ผู้สร้างเว็บไซต์แรกของโลก



เว็บไซต์แห่งแรกของโลกมีชื่อว่า http:info.cern.ch

ปรากฏ ตัวบนโลกไซเบอร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1991 สร้างโดย ทิม เบอร์เนอร์ส ลี นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์การเพื่อการวิจัยด้านนิวเคลียร์แห่งยุโรป (European Organization for Nuclear Research) หรือ CERN ที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 1989 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

- เบอร์เนอร์ส ลี ได้ไอเดียคิดสร้างเว็บไซต์

หลัง จากที่ วินต์ เซิร์ฟ และบ็อบ คาห์น ได้สร้างระบบเครือข่ายเชื่อมต่อที่ใช้ส่งข้อมูลเป็นกลุ่มๆ จากคอมพิวเตอร์ผ่านสายเคเบิลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม "อินเทอร์เน็ต"ได้สำเร็จแล้วก่อนหน้านี้

- วัตถุประสงค์ในการสร้างเว็บไซต์ของเบอร์เนอร์ส ลี

ก็เพื่อให้ผู้คนสามารถแชร์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งมีอยู่เพียงชิ้นเดียวร่วมกันได้โดยอาศัยระบบอินเทอร์เน็ต กล่าว ง่ายๆ ก็คือ แทนที่จะต้องส่งข้อมูลที่มีอยู่ในมือไปให้คนอื่นผลัดกันดู เราสามารถนั่งดูข้อมูลดังกล่าวได้ในเวลาพร้อมๆ กันบนเว็บไซต์โดยไม่ต้องอาศัยอยู่ที่เดียวกัน นั่นเอง

ปัจจุบันเว็บไซต์ http:info.cern.ch ก็ยังคงมีอยู่ โดยเนื้อหาที่ปรากฏในเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นการบอกเล่าถึงความเป็นมาของการเกิดเว็บไซต์แห่งนี้

ขณะที่ เจ้าของไอเดียสร้างเว็บไซต์อย่าง เบอร์เนอร์ส ลี ได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทม์ ฉบับ ประจำวันที่ 14 มิถุนายน 1999 ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20 ในฐานะที่เขาเป็นผู้ปลุกให้คนหันมาสนใจโลกแห่งไซเบอร์ในปริมาณเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว